วันที่ 15 ม.ค.68 นายปัณฐวิชญ์ มุ่งสมัครศรีกุล ผู้อำนวยการสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.) ได้รับมอบหมายจากประธานสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ให้นำคณะสหกรณ์ ประกอบด้วย ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย และขบวนการสหกรณ์ เข้าพบหารือนายสมคิด เชื้อคง  รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง โดยภาคสหกรณ์ได้ชี้แจงในที่ประชุมว่า กฎกระทรวงดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อเนื่อง ทั้งกับการดำเนินงานของสหกรณ์และความเป็นอยู่ของสมาชิกสหกรณ์  ซึ่งมีมากกว่า 12 ล้านคนเศษ โดยผู้บริหารสหกรณ์ที่เข้าพบได้ตระหนักถึงความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นกับสหกรณ์ จึงได้ขอให้สันนิบาตสหกรณ์ฯ ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าชี้แจงและขอให้แก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว โดยได้พยายามชี้ให้เห็นว่าการทำประชาพิจารณ์ที่ผ่านมา ภาครัฐไม่ได้รับฟังสหกรณ์ เป็นเพียงแค่ให้ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย การรับฟังความคิดเห็นของภาครัฐในเรื่องของกฎกระทรวง ไม่ได้มองเห็นปัญหาของภาคสหกรณ์ ออกกฎหมาย เพื่อบอนไซ โดยรัฐใช้เครื่องมือทางกฎหมาย อ้างผ่านประชาพิจารณ์ แท้จริงไม่เคยรับฟังความเดือดร้อนของสหกรณ์ หากปล่อยผ่านคาดว่าจะมี สหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนได้รับกระทบอย่างหนักแน่นอน

โดยในครั้งนี้ สสท.และขบวนการสหกรณ์ ได้เข้าพบ ยื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี (ผ่านนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง) โดยมีเอกสารดังนี้ (1) กฎกระทรวงการฝากเงินและการลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ๒๕๖๗ (2) บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การนำเงินของสหกรณ์ไปฝากหรือลงทุน (3) บทสรุปสำหรับผู้บริหาร : การรับฟังความเห็นและผลกระทบต่อสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูนี่อน เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 และประเด็นความเห็นอื่น ๆ ที่เป็นเหตุผลประกอบ ว่าสมควรยกเลิกกฎกระทรวงฉบับนี้ (4) สรุปสาระสำคัญจากการระดมความเห็น : เหตุผลที่ไม่เห็นด้วย ต่อ กฎกระทรวงการฝากเงินและการลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตยูเนี่ยน พ.ศ.2567 (5) บทวิเคราะห์ข้อกำหนดลงทุนใหม่ : สร้างวิกฤตเงินเหลือ และสรุปกรอบการลงทุนฯ
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกฎกระทรวงการฝากเงินและการลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ.2567 ซึ่งมีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567

สาระสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสหกรณ์ โดยเฉพาะใน ข้อ 3 กำหนดให้สหกรณ์หรือชุมนุมสหกรณ์ฝากเงินหรือลงทุนแต่ละแห่งได้ ไม่เกินร้อยละสิบของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรองของสหกรณ์หรือชุมนุมสหกรณ์นั้น เว้นแต่เป็นการฝากเงินในชุมนุมสหกรณ์ที่สหกรณ์นั้นเป็นสมาชิก หรือเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ของรัฐบาล ให้สามารถฝากเงินหรือลงทุนเกินร้อยละสิบของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรองของสหกรณ์หรือชุมนุมสหกรณ์นั้นได้ และข้อ 4 การฝากหรือการลงทุนดังต่อไปนี้ เมื่อนำมารวมกันแล้วต้องไม่เกินทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรองของสหกรณ์นั้น รวมทั้งต้องได้รับความเห็นชอบแผนและวงเงินการลงทุนจากที่ประชุมใหญ่ของสหกรณ์หรือชุมนุมสหกรณ์นั้น (1) ซื้อหลักทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน (2) ซื้อหุ้นของธนาคารที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สหกรณ์ (3) ซื้อหุ้นของสถาบันที่ประกอบธุรกิจอันทำให้เกิดความสะดวกหรือส่งเสริมความเจริญแก่กิจการของสหกรณ์ โดยได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนสหกรณ์ (4) ฝากหรือลงทุนอย่างอื่นตามที่คณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติกำหนด 

สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ในฐานะองค์กรกลางของขบวนการสหกรณ์ไทย จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2542 ประกอบด้วย สหกรณ์ทุกสหกรณ์เป็นสมาชิก ได้รับการร้องขอจากสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนส่วนใหญ่ ให้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นและปัญหาความเดือดร้อนของสหกรณ์ที่เกิดจากกฎกระทรวงการฝากเงินและการลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ.2567 จึงได้จัดเวทีการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ซึ่งผลการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว มีข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า ขอให้สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ดำเนินการช่วยเหลือสหกรณ์ที่เดือดร้อนดังนี้ 1) สรุปประเด็นความคิดเห็นและปัญหาความเดือดร้อนของสหกรณ์ ส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2) ประสานไปยังหน่วยงานกลางที่รับฟังและสะท้อนปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะกราบเรียนถึง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี กรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา 3) หากปัญหาความเดือดร้อนของสหกรณ์ดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไข ขอให้สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเพื่อดำเนินการฟ้องเพิกถอนกฎกระทรวงดังกล่าวให้เป็นความต้องการของขบวนการสหกรณ์ โดยมีข้อเสนอดังนี้ 1.เงินลงทุน = (เงินรับฝาก+ทุนเรือนหุ้น+ทุนสำรอง) ของสหกรณ์ออมทรัพย์หรือชุมนุมฯ 2.ให้ลงทุนในหุ้นสามัญไม่เกินทุนเรือนหุ้นบวกทุนสำรอง แต่ควรเปิดช่องให้ลงทุนในหุ้นกู้หรือพันธบัตรได้