วธ.ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายจัดพิธีทางศาสนามหามงคล ถวายพระราชกุศล เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรี พุทธศักราช 2568 ทั่วประเทศ
ความสำคัญของพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ 26,469 วัน เป็นวันสมมงคลเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ นับเป็นมหามงคลสมัยพิเศษยิ่ง ซึ่งการบําเพ็ญพระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระบรมราชบูรพการี เป็นราชประเพณีที่ถือปฏิบัติสืบกันมาช้านาน พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะทรงอนุสรณ์คํานึงถึงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชบูรพการี
ในวาระต่างๆ เช่น ในวันที่ตรงกับการครองราชย์ มีทั้งโอกาสที่เวียนมาเป็นครั้งแรกมักเรียกว่า “สมมงคล” หมายถึง เสมอกัน หรือ “สมภาคา” บ้าง ถ้าเวียนมาเป็นครั้งที่สองก็เรียกว่า “ทวิภาคา” บ้าง หรือ “ทวีธาภิเษก” บ้าง จะปรากฏแนวปฏิบัติเกี่ยวกับพระราชพิธีลักษณะนี้ ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 พระราชกุศลที่บําเพ็ญถวายแด่สมเด็จพระบรมราชบูรพการีของพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ นอกจากโอกาสวันดำรงสิริราชสมบัติเวียนมาพ้องกับวันสําคัญดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีพระราชประเพณีที่ทรงถือปฏิบัติในอีกหลายวาระ และวาระหนึ่งที่สำคัญคือ วันที่พระชนมพรรษาเวียนไปเสมอเท่ากัน และ วันที่พระชนมพรรษามากกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งในรัชกาลที่ล่วงไปแล้วด้วยถือเป็นภาพลักษณ์ แสดงวัฒนธรรมที่ดีงามของพระมหากษัตริย์ของชาติไทยในการที่ทรงสร้างแบบอย่างความกตัญญูกตเวทิตา แสดงความเคารพรําลึกถึงบรรพชนปู่ย่าตายายที่ประกอบคุณความดีไว้แก่บ้านเมือง ให้ราษฎรยึดถือเป็นแบบแผน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงปฏิบัตินั้น กล่าวได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเป็นรากฐานและแบบอย่างของการพัฒนาความเป็นชาติไทยสืบต่อมาจวบจนปัจจุบัน
ทางด้านกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า รัฐบาลโดยวธ. ได้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศล เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่ากับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยส่วนกลางมอบหมายให้กรมการศาสนา(ศน.) จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ในวันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2568 ณ วัดในกรุงเทพมหานคร จำนวน 16 วัด และ 1 โบสถ์พราหมณ์ และพิธีทางศาสนามหามงคลถวายพระราชกุศล ในวันอังคารที่ 14 มกราคม เวลา 09.00 น. ณ เต็นท์พิธีการท้องสนามหลวง โดยมีผู้นำองค์การศาสนา 5 ศาสนา ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา ประกอบด้วย ศาสนาพุทธพิธีเจริญพระพุทธมนต์ หรือการสวดมนต์ เป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา เพื่อจำหลักคำสอนที่เป็นพระพุทธวจนะเท่านั้น การได้ยินได้ฟังพระสงฆ์สวดสาธยาย ถือว่าเป็นสิริมงคล ประสิทธิ์ประสาทความเจริญ และสามารถที่จะป้องกันภัยอันตรายได้
ทางด้านศาสนาอิสลามประกอบพิธีดุอาอ์ขอพร เพื่อแสดงออกถึงการรำลึกถึงอัลลอฮ์ ซึ่งอิสลามสอนให้อ่านดุอาอ์ในเวลาและโอกาสต่างๆ ศาสนาคริสต์ประกอบพิธีอธิษฐานภาวนาขอพร เป็นรูปแบบความผูกพันระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า โดยมีบทภาวนาที่คริสต์ศาสนิกชนทุกคนสามารถอธิษฐานภาวนาร่วมกันได้ เพื่อแสดงความเป็นน้ำใจเดียวกัน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สวดถวายพระพร เรียกว่า พรหมยัชญะและเทวยัชญะ เป็นหลักสำคัญ 2 ประการ ที่ผู้นับถือศาสนาฮินดูที่เคร่งจะต้องทำประจำวัน ที่เรียกว่า ปัญจมหายัชญะ คือการบูชาที่ยิ่งใหญ่ 5 ประการ และศาสนาซิกข์ สวดอัรดาสและกีรตันขอพรจากพระศาสดา เป็นบทสวดเพื่อรำลึกถึงพระคุณของศาสดาขอให้พระองค์ประทานพร ปกป้องคุ้มครองศาสนิกชนทุกเชื้อชาติศาสนา นอกจากนี้ วธ.ยังได้จัดการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดรามอยุธยเยศเศวตฉัตร เฉลิมพระเกียรติพระราชพิธีสมมงคล ในวันที่ 14 มกราคม 2568 ด้วย
ในส่วนภูมิภาค ได้ร่วมกับจังหวัดและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ องค์กรทางศาสนา ทุกส่วนราชการ องค์กรภาครัฐ และองค์กรภาคเอกชน จัดพิธีทางศาสนามหามงคล ถวายพระราชกุศล เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรี พุทธศักราช 2568 ในวันที่ 14 มกราคม เวลา 09.00 น. ณ สถานที่ที่เหมาะสมของแต่ละศาสนาตามบริบทของพื้นที่
การจัดงานในครั้งนี้เพื่อให้ศาสนิกชนได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อีกทั้งส่งเสริมให้ศาสนิกชนทุกศาสนาด้วยการนำหลักธรรมทางศาสนาและน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน โดยมีสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และศาสนสถาน เป็นพลังในการขับเคลื่อน อันจะก่อให้เกิดความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนในสังคมอย่างยั่งยืน ทำให้ประเทศชาติเกิดความสันติสุขสืบไป