คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์   เศรษฐช่วย      

แทบไม่น่าเชื่อว่า ขณะนี้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง จนเกิดเป็นประเด็นร้อนๆในสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับวีซ่าสมองไหลที่เรียกกันว่า “วีซ่าH1B”  ซึ่งเป็นวีซาชั่วคราวสำหรับชาวต่างชาติที่มีทักษะพิเศษเฉพาะทาง เพื่อเข้าไปทำงานในสหรัฐอเมริกา

กระทรวงแรงงานของสหรัฐฯระบุว่า วัตถุประสงค์ของวีซ่า H1B ก็เพื่อช่วยเหลือนายจ้างที่ไม่สามารถหาคนงานชาวอเมริกันในทักษะเฉพาะทางได้

โดยแต่ละปีรัฐบาลสหรัฐฯได้กำหนดเพดานของวีซ่าชนิดนี้ไว้ที่ปีละ 85,000 คน และใครก็ตามเมื่อได้รับวีซ่านี้แล้ว จะสามารถทำงานอยู่ในสหรัฐฯได้เป็นเวลา 6 ปี และยังได้มอบโอกาสเปิดประตูให้กับครอบครัวของผู้ที่ได้รับวีซ่าชนิดนี้เดินทางเข้าสู่สหรัฐฯได้อีกด้วย!!!

โดยเฉลี่ยแล้ว ค่าตอบแทนของผู้ที่ถือวีซ่า H1B จะมีค่าตอบแทนอย่างน้อยปีละ 65,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2024 มีการรายงานอัตราส่วนที่นายจ้างจะถูกปฏิเสธในการขอวีซ่าประเภทนี้ให้แก่ลูกจ้างอยู่ที่ 2.5% จากที่ผ่านมาเคยมีการปฏิเสธสูงถึง 3.5%

ทั้งนี้ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” และขุนพลคู่ใจ “อีลอน มัสก์” กำลังเร่งผลักดันให้วีซ่า H1B ได้รับการยอมรับสูงมากขึ้น โดยประธานาธิบดีทรัมป์ให้ความคิดเห็นว่า ตนเองก็มีลูกน้องคนงานที่อยู่ในข่ายวีซ่า H1B มาแล้วหลายๆครั้ง

และจากการที่เขาให้สัมภาษณ์กับ “หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์” เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2024 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้อธิบายว่า  “วีซ่า H1B ถือเป็นโปรแกรมที่ยอดเยี่ยม” ซึ่งลูกจ้างของเขาที่อยู่ในสหรัฐฯด้วยวีซ่าชนิดนี้มีตั้งแต่ระดับ วิศวกรซอฟต์แวร์ เรื่อยไปจนถึงระดับคนงานทำสวน และแม่บ้านเลยทีเดียว

ส่วนอภิมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ ผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก และมีธุรกิจมากมายหลายหลาก เช่น “บริษัทเทสล่า” ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นสินค้าส่งออกไปยังทั่วโลกและมียอดขายสูงที่สุดอีกด้วย

อีลอน มัสก์ ก็ได้แสดงความคิดเห็นผ่านทางโซเชียลมีเดีย “X” ที่เมื่อปีค.ศ. 2022 เขาซื้อต่อมาจากโซเชียลมีเดียชื่อดัง “Twitter” เป็นจำนวนเม็ดเงินถึง 44 พันล้านดอลลาร์ โดยเขาเขียนข้อความโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย “X” ในช่วงวันฉลองคริสต์มาสว่า เนื่องจากชาวอเมริกันมีไม่เพียงพอต่อการทำงานในบริษัทของเขาที่มีอยู่หลายๆแห่ง แถมปัจจุบันนี้สหรัฐฯยังขาดแคลนบุคลากรด้านวิศวกรรมที่มีความเชี่ยวชาญ บ่อยครั้งที่เขามักจะเลือกใช้ลูกน้องที่ครอบครองวีซ่า H1B เข้าไปทำงานในบริษัททั้งหลายแหล่ของเขา

ทั้งนี้อีลอน มัสก์ ยังได้ระบุต่อไปอีกว่า เมื่อปีค.ศ. 2024 ที่ผ่านมา บรรดาลูกน้องในบริษัทเทสล่า และ SpaceX  ได้รับวีซ่าH1B แล้วถึง 724 ราย โดยเขาระบุบ่งชี้ว่าธุรกิจของเขาที่มีความเจริญรุ่งเรือง นับเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สหรัฐอเมริกามีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น!!!

อย่างไรก็ตามขณะนี้กลับปรากฏว่า เรื่องราวของวีซ่า H1B ได้กลายเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการโต้แย้งระหว่างสองฝ่ายที่เห็นด้วยและที่มีความคิดเห็นที่แตกต่าง

โดยผู้ที่ให้การสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์และอีลอน มัสก์ ส่วนใหญ่ล้วนแต่มาจากเจ้าของด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะจาก “ซิลิคอนวัลเลย์” ที่ต้องพึ่งพาอาศัยนักโปรแกรมเมอร์

ส่วนอีกฝ่ายที่โต้แย้งไม่เห็นด้วยก็มีอาทิเช่น “วุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์” นักการเมืองผู้มีอิทธิพลสูงมาก และเขายังเคยลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้วถึงสองครั้ง โดยขณะนี้เขาได้กลายเป็นแกนนำคนสำคัญที่ออกมาต่อต้านโครงการวีซ่า H1B ที่เขาอ้างว่าการที่อีลอน มัสก์ สนับสนุนวีซ่าประเภทนี้ สืบเนื่องมาจากเสียค่าโสหุ้ยในการเฟ้นหาลูกน้องไม่มากเท่าใดนัก

โดยวุฒิสมาชิกแซนเดอร์ เอ่ยปากยอมรับว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่สหรัฐอเมริกาจะต้องมีคนงานที่มีทักษะสูงด้านการทำงาน และการที่สหรัฐอเมริกาสามารถจะผลิตคนงานที่เป็นคนอเมริกันให้มีทักษะสูงที่ไม่ปล่อยให้ธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั้งหลายจ้างคนงานต่างด้าวที่อาศัยวีซ่า H1B ที่คนงานเหล่านั้นได้รับค่าตอบแทนต่ำ แต่ทำบริษัทยักษ์ใหญ่มีผลกำไรสูง ก็ต้องแก้ไขด้วยการที่สหรัฐอเมริกาลงทุนประเดิมเริ่มต้นด้านการศึกษาเป็นอันดับแรก

และน่าสังเกตว่า “ลอรา ลูมเมอร์” นักเคลื่อนไหวปีกขวาที่ให้การสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างเต็มที่มาโดยตลอด ขณะนี้ได้ออกมาโจมตีโครงการวีซ่า H1B นี้ว่าเป็นภัยคุกคามต่อชาวอเมริกันเป็นอย่างมาก

โดยข้อมูลจาก “ZipRecruiter” ล่าสุดนี้ออกมาระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้ที่ถือวีซ่า H1B จะมีรายได้ ณ วันที่ 29 ธันวาคม 2024 ปีละ 163,533 ดอลลาร์ และมีผู้ที่ได้รับค่าตอบแทนสูงถึง 206,500 ดอลลาร์ต่อปี

อีกทั้งแหล่งข้อมูลแห่งนี้ยังได้แจกแจงถึงอาชีพที่มีรายได้สูงสุดซึ่งได้แก่ อาชีพแพทย์ โดยแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเนื้องอกจะได้รับเงินเดือนเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 352,527 ดอลลาร์ ต่อปี และเงินเดือนแพทย์โดยทั่วไปจะได้ค่าตอบแทนอยู่ที่ 149,049 ดอลลาร์ต่อปี

เป็นที่น่าสังเกตต่อไปอีกว่าข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2023ได้ออกมารายงานว่าวีซ่า H1B นี้จำนวนกว่า 78% จากจำนวนวีซ่าประจำปีทั้งหมดออกให้แก่ชาวอินเดียถึง 265,777 ราย ที่นับได้ว่าชาวอินเดียมีทักษะสูงทางด้านเทคโนโลยี

ส่วนกระทรวงต่างประเทศของอินเดียก็ได้ออกมาอธิบายถึงเรื่องนี้ว่า อินเดียให้ความสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาให้ชาวอินเดียมีทักษะทางด้านเทคโนโลยีเป็นอย่างสูง แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้รัฐบาลสหรัฐฯกลับนิ่งเงียบไม่ยอมออกมาแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด

ล่าสุดนี้รัฐบาลสหรัฐฯได้ออกมาเปิดเผยว่า เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2024 บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่าของ อีลอน มัสก์ มีจำนวนพนักงานอยู่ที่ 121,858 คน และมีพนักงานถูกสั่งปลดไปแล้ว 14% แถมบริษัทเทสล่ายังมีแนวโน้มที่จะปลดพนักงานเพิ่มอีก 10% ในปีค.ศ. 2025 นี้อีกด้วย

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นดูเหมือนว่าทั้ง “ประธานาธิบดีโดนัล์ ทรัมป์” และขุนพลคู่ใจเพื่อนคู่คิดระดับอภิมหาเศรษฐี “อีลอน มัสก์” อาจจะดำเนินการตามนโยบายเดิมในการให้ความสนับสนุน “ โปรแกรมวีซ่า H1B” ต่อไปค่อนข้างแน่นอน ซึ่งประเทศไทยก็น่าจะนำเอาเรื่องราวดีๆทำนองเดียวกันกับอินเดียมาพินิจพิจารณาขยับขยายลงทุนลงแรงให้แก่นักศึกษาลูกหลานไทยของเราในระดับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ให้พวกเขาได้มีทักษะทางด้านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้อย่างเชี่ยวชาญและอย่างจริงจัง ซึ่งขณะนี้ “Purdue University” ที่ตั้งอยู่ที่รัฐอินเดียนา, “Brigham Young University”และ “Weber State University” ที่ต่างตั้งอยู่ในรัฐยูทาห์ ก็เข้าไปเป็นพันธมิตรอันดีของ “มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่” จนสามารถผลิตนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมาได้อย่างช่ำชองปีละหลายพันคน แต่เนื่องจากจำนวนของบุคลากรมีไม่พอกับความต้องการของท้องตลาดในสหรัฐอเมริกา ฉะนั้นขอรบกวนให้กระทรวงศึกษาธิการของไทยช่วยนำเก็บไปคิดเป็นการบ้านด้วยละครับ