ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

เหนือขึ้นไปจากวิสัยของชีวิตคือ..ความเรืองรุ่งทางความคิด ต่อการปลดวางภาระแห่งพันธการทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว จากเจตจำนงอันฝังลึกของการกระทำนานา  มีอยู่หลายครั้งหลายหน ที่ก้าวย่างแห่งตัวตนของเราอาจพลาดพลั้ง..มันอาจเสื่อมสติลงจากคุณธรรมอันดีงาม หรือซวดเซไปหลงติดอยู่กับขบวนการของความมดเท็จแห่งมายาจริต

นับเนื่องต่อปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้..หากเราทุกคนไหวเคลื่อนต่อปฏิกิริยาทางความรู้สึกโดยไม่คัดง้างหรือต่อต้านแล้ว..ก็จะได้สัมผัสข้อตระหนักอันเป็นสัจจะว่า..

“ตัวตนที่แท้จริงของคนเราทุกคนนั้น..ล้วนซ่อนอยู่ในอารมณ์ที่ถูกกดทับไว้”

นั่นคือข้อสังเกตการณ์อันหยั่งลึกของชีวิต ที่สร้างความเข้าใจสู่ความเข้าใจ..ไม่ว่าชีวิตนั้นๆจะโชคดี หรือต้องเผชิญหน้ากับบาปเคราะห์อันชวนขยะแขยงหรือสกปรกโสมม..เพียงใดก็ตาม...!

นั่นคือ..ความนัยที่ได้รับและมีสัมผัสร่วมจากหนังสือ อิสรภาพทางอารมณ์ทำให้ชีวิตดีขึ้น”..หนังสือที่ปลุกตื่นและเติมแต่งชีวิต สู่การรับรู้อันมีค่าต่อพัฒนาการของการดำรงอยู่และดำเนินไป อย่างถาวร..แท้จริง..!

“จาง เต๋อ เฟิน”..นักเขียนผู้เขียนหนังสือ เพื่อการพัฒนาตัวเอง ที่ทรงอิทธิพลในโลกการอ่านของจีน..เป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้...โดยจากเกียรติประวัติ หนังสือของเธอ มียอดขายมากกว่า 10 ล้านเล่ม..

“ตัวตนที่แท้จริงของเธอ..ซ่อนอยู่ในเงามืดของอารมณ์”

สาระของหนังสือที่สำคัญ..ประกอบด้วยผลงาน 122 เรื่องราว อันเป็นเคล็ดลับ แห่งเทคนิคที่มีคุณค่า ซึ่งมืออาชีพจำเป็นต้องเรียนรู้และรับรู้เพื่อ “ช่วยให้การเก็บงานชิ้นสุดท้ายของพวกเขา..ออกมาโดดเด่น แบบก้าวกระโดด”

โดยเธอ..ได้ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาทางอารมณ์มักเกิดจากความรู้สึกภายในที่เราพยายามซ่อนเร้น หรือปฏิเสธมัน..เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาชีวิต..แทนที่จะโทษปัจจัยภายนอก..

เธอแนะนำให้ทุกคนหันมาสำรวจตัวเอง เพื่อเข้าใจที่มาของปัญหา..และหาทางออกที่ยั่งยืน..ให้เราเห็นความจริงในตนเอง และค้นพบทางออกที่อยู่เพียงแค่เอื้อม..กระทั่ง พ้นทุกข์ เข้าใจชีวิต และ หยั่งเห็นถึงจินตภาพภายใน...

“เมื่อเราดูแลตัวตน..ได้ดีขึ้น ชีวิตก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น..จนบรรลุสู่ความสุขสงบที่แท้จริง”..วิถีแห่งความเข้าใจ..นัยแห่งตัวตนที่เธอได้ระบุไว้..ล้วนเกิดจากภาวะสำนึกแห่งรสสัมผัสในรู้สึกอันถ่องแท้..

*...ยิ่งเข้าใจชีวิตได้เร็ว ยิ่งทำให้เกิดทุกข์น้อยลง.. แต่..ถ้าเราไม่ยอมรับ และเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เราก็จะเกิดทุกข์ เหตุนี้..ทางออกที่ดีที่สุด จึงคือการให้เรายอมรับกับทุกสิ่ง ที่เกิดขึ้นกับชีวิตอย่างเข้าใจ..ซึ่งเราก็จะทุกข์น้อยลง..เเละหากถ้าเรา..มองเห็นถึงความผิดพลาดของตัวเอง ก็ย่อมจะเป็นสิ่งที่ก่อประโยชน์..เพราะถ้าเรามองไม่เห็น “ไม่เห็น..ไม่มอง”..เราจะเติบโตได้อย่างไร?..

เพราะการยอมรับความผิดพลาด คือโอกาสแห่งการแก้ไขอันถูกต้อง...ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญสู่การเติบโตทางจิตวิญญาณ ที่ละเอียดอ่อน และเป็นคุณค่าต่ออนาคตของชีวิต..อย่างแท้จริง..

นอกจากนี้..เธอยังได้ย้ำเตือนถึง..ความรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเอง..โดยชี้ให้ประจักษ์ถึงว่า..ความสุขหรือความทุกข์ที่เกิดในความสัมพันธ์หนึ่งๆ..ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น แต่ขึ้นอยู่กับการที่เรารับผิดชอบต่อความรู้สึกของตัวเอง..ขออย่าได้ไปโทษใคร..แต่เราต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเอง..ในทุกเรื่องที่พานพบ..ตลอดไปให้ได้..เท่านั้นเอง..!

..ประเด็นของความโกรธ..ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ทำลายชีวิตเราลงได้..เราจึงต้องฝึกรับมือกับความโกรธ..ให้ดีและจริงจัง..ทั้งนี้ก็เพราะว่า..ความโกรธเป็นอารมณ์ที่เรารับมือไม่ได้เลย...เพราะเหตุที่วงจรประสาทในสมองนั้นทำงานเร็ว..รวมทั้งผลลัพธ์ของความโกรธในทุกๆครั้ง..ไม่เคยดีเลย..

ดังนั้น..เราจึงไม่สมควรที่จะสูญเสียตัวเอง..เพียงเพราะความสัมพันธ์..เนื่องเพราะ..ความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ควรทำให้เราสูญเสียตัวตน หรือต้องยอมทำในสิ่งที่ตัวเราไม่อยากทำ..

“จงอย่าปล่อยให้ความสัมพันธ์ ทำให้เราไม่สามารถเป็นตัวของเราได้..”

ที่สุดแล้ว..เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธคนอื่นบ้าง..ทักษะหนึ่งที่เราควรมีและทำอย่างจริงจัง..ก็คือการเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ..เสียบ้าง..

ทั้งนี้..เพราะเราส่วนใหญ่ชอบแคร์ความรู้สึกของคนอื่น จนลืมนึกถึงความรู้สึกของตนเอง..ฝืนรับปากในสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้..สุดท้ายก็ต้องลำบากใจเอง..!

โดยแท้จริง..เราต่างเป็นคนหนึ่งที่มีความทุกข์..

..ความคิดที่ว่าถ้าคนเปลี่ยน ..สิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยน..หรือถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เราคิด เราจะหายจากทุกข์ และมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น..

แต่ข้อเท็จจริงก็คือว่า..หากเราต่างมีความคิดเช่นนี้..เราจะไม่มีทางหายจากความทุกข์ได้..และยากที่จะมีความสุขได้อย่างที่เราคิด..เพราะสิ่งที่เราคาดหวังให้เปลี่ยนแปลง..เป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้เลย..

"มนุษย์ทุกคนเป็นเป้าของความคิด..และความรู้สึกของตนเอง"

การเน้นย้ำ..ถึงการพินิจพิเคราะห์ตนเองอย่างมีวิจารณญาณ ที่ปรากฏเป็นองค์ความรู้ของหนังสือเล่มนี้..ถือเป็นคุณค่าซึ่งสร้างความดีงามให้แก่ชีวิต..ด้วยข้อพิสูจน์ของความเป็นสัจจะ..

"จาง เต๋อ เฟิน"..เหมือนสืบค้นเข้าไปในที่ว่างภายในหัวใจของผู้คน..ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความหม่นไหม้..พร้อมชี้หนทางให้ชีวิตได้เรียนรู้ถึงนิยามที่เป็นเลือดเนื้อแห่งการตระหนักรู้ของชีวิต..จากจุดเล็กๆจนไปสู่..โครงสร้างที่ขยายผลลัพธ์อันเป็น"ตรรกประโยชน์"อันยากจะปฏิเสธได้..

“รูปแบบชีวิตบางอย่างของเรา..มีอะไรที่กำลังขัดขวางไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า..เพื่อเป็นคนที่ดีขึ้นไหม?..”

นี่คือปริศนาสำคัญที่แสนจะทบซ้อนของชีวิต...ซึ่งคนเราทุกคนจักต้องพยายามแสวงหา...คำตอบอันคู่ควรของมันให้ได้..อย่างเป็นอิสระ..ด้วยบทบาทและสถานะของอารมณ์อันเข้มข้นและไตร่ตรอง..

เมื่อบรรลุถึงโอกาสนั้น..ชีวิตย่อมโปร่งโล่ง เข้าใจ และ เบาขึ้น..โดยไม่ต้องจมปลักและตกอยู่กับภาวะแวดล้อมทางจิตวิญญาณที่หนักอึ้งและเศร้าตรมอีกต่อไป..

อิสรภาพทางอารมณ์ทำให้ชีวิตเบาขึ้น..ถอดความและแปลเป็นภาษาไทยอย่างแยบยลโดย.. “ภัทรานิษฐ์ ศุภพลธร”..

ยิ่งได้อ่าน ก็ยิ่งได้ค้นพบ..ตัวตนที่แท้ของชีวิต..ที่คอยแต่เล่นเข้าล่อเอาเถิดกับตัวตนทั้งภายในและภายนอกของเรา..อย่างไม่มีกาลเวลาที่จะจบสิ้น..ความดีหรือเลวในชีวิตนั้น..จึงเป็นดั่งเกมแห่งชะตากรรม..ซึ่งว่ากันว่า..อุปสรรคในชีวิตของคนเราในทุกวันนี้..เรามักจะพุ่งเป้าไปสู่การโทษคนอื่น สิ่งรอบตัว..หรือเหตุการณ์ต่างๆว่าเป็น..สาเหตุของความทุกข์

แต่จริงๆแล้ว..มันล้วนมาจากอารมณ์และความรู้สึกภายในของเราเอง..เราเพียงแต่มองหาใครสักคน หรืออะไรสักอย่างใกล้ตัว มาเป็นที่ระบายความทุกข์ ในใจเท่านั้นเอง..

มันคือบทพิสูจน์ที่ย้ำเตือนสติโดยการพาให้เราไปค้นหาความสุข..ว่าจริงๆแล้วมันอยู่ตรงไหน?..และถ้าหากเราไม่มีความสุขในตอนนี้..เราก็จะได้รู้ว่า..ใครกัน?..ที่เป็นคนฉกฉวยเอาความสุขของเราไป..และเราต้องทำอย่างไร..ถึงจะได้ความสุขนั้นกลับคืนมา..!

“ที่ฉันพูดว่า” คนที่ดีขึ้น"นั้น..ไม่ได้หมายถึง คนที่รวยกว่า มีความรู้มากกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า หรือมีความรู้อย่างถ่องแท้มากกว่า..

“แต่มันหมายถึง..คนที่รู้สึกสบายใจ..เข้าใจตนเองมากขึ้น..รู้สึกพอใจ..และขอบคุณในสิ่งที่ตนเองมี..!!!"