“ปปช.” ชี้มูลฟัน “2 จนท.รัฐ” ร่ำรวยผิดปกติ ส่ง “อัยการสูงสุด” ฟ้องศาลยึดทรัพย์ “อดีตนายกเล็กราชบุรี” 231ล้าน “นักวิชาการ”  สำนักพุทธฯ อีก 30 ล้าน

เมื่อวันที่ 9 ม.ค.68 นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.)ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช.แถลงว่า ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นางศมานันท์ เหล่าวณิชวิศิษฐ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี จ.ราชบุรี ร่ำรวยผิดปกติ รวมเป็นเงินจำนวน 231,742,807.50 บาท จึงให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน

นอกจากนี้ ให้ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เพื่อสั่งให้พ้นจากตำแหน่งภายใน 60 วัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคห้า หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ ภายในระยะเวลา 10ปี ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125

ขณะเดียวกัน ป.ป.ช. ยังมีมติชี้มูลความผิดนายณรงค์เดช ชัยเนตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนักวิชาการศาสนาชำนาญการ นักวิชาการศาสนาชำนาญการ พิเศษ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอำนาจเจริญ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมงานเผยแผ่ พระพุทธศาสนา และผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสิงห์บุรี สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 30,089,846.43 บาท

จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อทำการซื้อขายหลักทรัพย์ของคู่สมรส มีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 21,340.44 บาท ซึ่งเงินกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าว เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติ ที่จะต้องขอให้ศาลริบทรัพย์สินดังกล่าวให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย จึงให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออก ภายใน 60วัน

โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ ภายในระยะเวลา 10 ปี ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125