วันที่ 9 ม.ค.2568 เวลา 11.15 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ได้พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา เรื่องบทบาทการทูตของไทยต่อประเทศเมียนมา ของนายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ถามนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศว่า สถานการณ์ในประเทศเมียนมาที่จะกระทบกับประเทศไทย ทั้งสถานการณ์ภัยสงคราม ความไม่สงบ สถานการณ์การเมือง รวมถึงคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งวันที่ 19 ธ.ค. 67 นายมาริษได้เชิญเพื่อนบ้านประเทศต่างๆ รวมถึงตัวแทนสภาทหารของเมียนมาเข้าร่วมประชุมที่ประเทศไทย ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ให้ประเทศเพื่อนบ้านเมียนมามาพูดคุย แต่สิ่งที่อยากถามคือจากการพูดคุยทหารเมียนมาได้มีการมาพูดว่าเขาจะมีการเลือกตั้งในปี 2568 โดยใช้เวทีที่รมว.ต่างประเทศจัดตั้งขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นการไปรองรับผลของการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นหรือไม่ ท่านทราบหรือไม่ว่าเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตย มีกระแสว่าไม่สามารถรับรองผลการเลือกตั้งนี้ได้ เราในฐานะกลุ่มประเทศประชาธิปไตย ที่ยึดหลักประชาธิปไตยเราจะยอมรับหรือไม่ ท่านมีจุดยืนทางการทูตอย่างไรต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเพื่อนบ้าน
ด้านมาริษ ชี้แจงว่า ประเทศไทยไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงกับทุกกลุ่ม ทั้งจากฝ่ายปกครองหรือฝ่ายต่อต้าน รวมถึงไม่สนับสนุนให้เกิดความรุนแรง ไม่ต้องการให้การสู้รบคงอยู่ในเมียนมาต่อไป อย่างไรก็ดีปัญหาของเมียนมานั้นจำเป็นต้องใช้การพูดคุยตามขั้นตอน สำหรันสถานการณ์ของเมียนมามีขั้นตอนและความเปราะบางหลายจุด รวมถึงมีผู้เล่นที่เกี่ยวข้องมาก สถานการณ์ซับซ้อน เป้าหมายของไทยอยากให้เมียนมากลับมาสงบ มีเสถียรภาพประชาชนเมียนมามีความเป็นอยู่ที่ดี มีความก้าวหน้า โดยต้องดำเนินการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์กับคนทุกกลุ่มในเมียนมา สำหรับความขัดแย้งในเมียนมาเป็นเรื่องภายในประเทศ พวกเขาต้องหาทางออกของอนาคตกันเอง จึงจะยั่งยืนประเทศ โดยภายนอกไม่สามารถบีบบังคับให้เมียนมาเป็นไปตามที่ต้องการได้ ไทยตระหนักดีกว่าเมียนมาเป็นประเทศเพื่อนบ้าน จึงมีความปรารถนาหาแนวทางสนับสนุนให้ฝ่ายต่างๆ หันหน้าคุยกันตามกระบวนการของอาเซียน ให้เมียนมามีความปรองดอง และพัฒนาเศรฐกิจได้อีกครั้ง.
ต่อมานายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม. พรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถาม รมว.ต่างประเทศ เรื่อง ข้อพิพาทอ้างสิทธิในไหล่ทวีทับซ้อนบริเวณอ่าวไทยระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา โดยถามถึงความคืบหน้าการดำเนินการและการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชาตามกรอบของเอ็มโอยู 2544 รวมถึงกรณีต่อการนำพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาใช้ระหว่างที่การเจรจาข้อพิพาทจะแล้วเสร็จ ที่พบว่าทั้งไทยและกัมพูชาพบการให้สัมปทานกับเอกชนไปแล้ว
นายมาริษ ชี้แจงว่า รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ในเรื่องดังกล่าว ซึ่งตามกรอบเอ็มโอยู 2544 มีข้อกำหนดให้รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายต้องเจรจาร่วมกัน ทั้งนี้รัฐบาลไทยมีกลไกของกรรมการร่วม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ตั้งกรรมการดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา สำหรับข้อห่วงใยของ สส.ฝ่ายค้านนั้น ตนพร้อมรับฟัง อย่างไรก็ดีในปลายเดือน ม.ค. นี้ กระทรวงการต่างประเทศ และกรรมาธิการ (กมธ.) ของสภาผู้แทนราษฎรที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันจัดเวทีสัมมนาเพื่อรับฟังความเห็นในประเด็นดังกล่าว