ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกยุคใหม่ ในมุมมองทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 นี้ นับว่าเป็นการเปลี่ยนที่รุนแรงและตึงเครียด ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในประเทศ ในภูมิภาคและโลกาภิวัตน์

ภายในประเทศนั้นช่องว่างระหว่างวัยนับว่าห่างออกไปทุกที ทั้งความรู้ มุมมอง โลกทัศน์และชีวทัศน์ โดยมีกระบวนการสำคัญที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดช่องว่างอย่างชัดเจนนั่นคือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งอาจให้ทั้งคุณในการสร้างสรรค์และโทษในการทำลายล้าง

ส่วนความขัดแย้งระหว่างประเทศได้ก่อตัวขึ้นในหลายพื้นที่ แต่จุดที่เป็นที่สนใจของชาวโลกมีอยู่ 3 จุด ด้วยกัน คือ ความขัดแย้ง รัสเซีย-ยูเครน ในภาคพื้นยุโรป ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง (เอเชียตะวันตก) คือ ปาเลสไตน์-อิสราเอล และความขัดแย้งในเอเชียตะวันออก จีน-ไต้หวัน ทั้งนี้มิได้หมายความว่าอีกหลายภูมิภาคจะปราศจากความขัดแย้ง

เหนือจากความขัดแย้งเฉพาะจุดที่กล่าวมาแล้วโลกกำลังถูกท้าทายด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนั่นคือการมีแรงกดดันเพื่อการกำหนดระเบียบโลกใหม่หลังการแตกสลายของสหภาพโซเวียต และสงครามเย็นระหว่าง 2 ขั้วอำนาจสิ้นสุด นั่นคือแรงขับเคลื่อนไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากโลกขั้วเดียวภายใต้การนำของสหรัฐฯ ไปสู่การมีบทบาทในโลกยุคใหม่ด้วยโลกภายใต้หลายขั้วอำนาจ (Multipolar)

สหรัฐฯและพันธมิตรเริ่มสูญเสียอำนาจนำในโลกาภิวัตน์ องค์การระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหประชาชาติ IMF World Bank WTO หรือระบบโอนเงินระหว่างประเทศ SWIFT ต่างได้รับผลกระทบ

ในยุโรปความสัมพันธ์ที่เป็นไปอย่างสร้างสรรค์และผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างรัสเซียกับยุโรป กว่า 30 ปี ต้องพังทลาย เพราะการแทรกแซงและรุกคืบของนาโต นำโดยสหรัฐฯ ที่ปรับแนวรุกในยูเครน ทำให้รัสเซียต้องตัดสินใจบุกยูเครน เพราะมันกระทบต่อความมั่นคงของรัสเซีย ที่ตกเป็นฝ่ายถอยร่นมาโดยตลอดนับแต่การขยายตัวของนาโต ทำให้ความสัมพันธ์ที่ราบรื่นของทั้งรัสเซียและยุโรปต้องพังทลายลง และเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อยุโรปที่เคยได้รับพลังงานราคาถูกจากรัสเซีย ในขณะที่รัสเซียก็ขาดรายได้และถูกแซงก์ชัน ทำให้เกิดการเผชิญหน้าที่ซับซ้อนและเพิ่มความเสี่ยงกับโลกยิ่งกว่าสมัยสงครามเย็น

ในตะวันออกกลางปัญหายืดเยื้อปาเลสไตน์-อิสราเอล ที่ยาวนานมากกว่า 75 ปี เพราะอิสราเอลไม่ยอมปฏิบัติตามมติสหประชาชาติมาตราที่ 181 นั่นคือการไม่ยอมให้ปาเลสไตน์ตั้งประเทศและยังกดขี่กดดัน รุกคืบในดินแดนที่ยึดครองมาด้วยกำลังและการโยกย้ายเพิ่มเติมผู้ตั้งถิ่นฐานในเขตยึดครอง จนล่าสุดคือการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา ตามด้วยการล่มสลายของรัฐบาลบาชาร์อัลอัสซาด ทำให้เกิดช่องว่างและขาดสมดุลของอำนาจที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้น จากการเผชิญหน้าของหลายฝ่ายที่ต้องการขยายอิทธิพลเข้ามาในพื้นที่นั่นคือ ตุรเคีย อิสราเอล และสหรัฐฯ

ที่สำคัญการเผชิญหน้าอาจขยายตัวไปสู่การโจมตีอิหร่านโดยอิสราเอลและสหรัฐฯ ด้วยความหวาดระแวงว่าอิหร่านจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

ความขัดแย้งจุดที่ 3 นั่นคือ จีน-ไต้หวัน ซึ่งความจริงจะไม่มีปัญหาอะไร ถ้าสหรัฐฯไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของจีนในสถานภาพของเกาะไต้หวัน แต่ความตึงเครียดนี้กลับขยายตัวไปสู่คาบสมุทรเกาหลีที่กำลังมีปัญหาภายใน เพราะประธานาธิบดีเกาหลีใต้กำลังทำการขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญและส่อไปสู่การยึดอำนาจอีกครั้ง หลังจากที่พยายามทำการประกาศกฎอัยการศึกมาแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จสร้างสัมพันธ์ในการผนึกกำลังกับญี่ปุ่นเพื่อต่อต้านจีน รวมถึงความขัดแย้งในทะเลจีนใต้

ความขัดแย้งเหล่านี้ก่อตัวให้เกิดแนวโน้ม 5 ประการต่อโลก คือ

1.แนวโน้มการก่อตัวอย่างรีบเร่งที่จะสถาปนาระบบโลกหลายขั้วนั่นคือ การจัดตั้ง BRICS อันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความสลับซับซ้อน ละเอียดอ่อน และไม่ได้เป็นเส้นตรง แต่มีมุมที่หักเหและอาจย้อนกลับได้ทุกเมื่อ

2.แนวโน้มระบบการเงินโลก กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง สถาบันและระบบที่เงินดอลลาร์จะไม่ได้เป็นเงินสกุลหลักของโลกอีกต่อไป นั่นหมายความว่าสหรัฐฯ นอกจากจะสูญเสียการเป็นผู้นำโลกทางการเมืองฝในระบบเดิม ยังสูญเสียอำนาจนำทางเศรษฐกิจอีกด้วย ทำให้มองคู่แข่งเป็นศัตรูอย่างรัสเซีย-จีน

3.แนวโน้มของโลกจากการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดดของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การคมนาคมสื่อสาร ตลอดจนการใช้ AI จะทำให้เกิดชนชั้นที่แตกต่างกันอย่างมาก นั่นคือ ชนชั้นที่สามารถปรับตัวและเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ และชนชั้นที่เข้าไม่ถึง อันจะกลายเป็นชนชั้นที่ไร้ประโยชน์ ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาสังคมที่ท้าทายที่ยิ่งใหญ่ต่อไป

ดังนั้นกลไกวิธีการและอุดมการณ์ หรือแนวคิดในการพัฒนาประเทศ และโลกจึงจะต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างเป็นนัยสำคัญ

4.แนวโน้มของการต่อสู้ในเชิงอำนาจของประเทศมหาอำนาจหรือชนชั้นในประเทศ กับประชาชนทั่วไป จะมีการเปลี่ยนแปลงและสลับซับซ้อนมากขึ้นด้วยวิธีการและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า โดยเฉพาะการใช้อาวุธจากเทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสาร

5.แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงค่านิยม คุณค่าทางจิตวิญญาณ วัฒนธรรม ตลอดจนศีลธรรมจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่ง และจะมีผลกระทบต่อความเชื่อความศรัทธาของศาสนาทั้งหลายในโลก และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีของการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะกันอย่างรุนแรง

หากพิจารณาจากปรากฏการณ์จะเห็นได้ว่าการที่สหรัฐฯมองว่าจีน รัสเซีย คือภัยคุกคามนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะมันหมายถึงผลประโยชน์มหาศาลจะขาดหายไปหากสหรัฐฯต้องสูญเสียอำนาจในการนำต่อโลก ทั้งๆที่ผลประโยชน์เหล่านั้นมิได้ตกอยู่กับอเมริกันชนโดยทั่วไปแต่จะไปตกอยู่กับกลุ่ม Elite จำนวนน้อยที่จะเพิ่มความมั่งคั่งของตน และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯดำเนินการกำจัดคู่แข่ง เพราะสหรัฐฯทำมาแล้วและกำลังทำอยู่กับยุโรปที่พยายามรวมตัวเป็น EU และสร้างระบบเงินตราของตนขึ้นมาแข่งขันกับดอลลาร์

อย่างไรก็ตามแนวโน้มการล่มสลายของสหรัฐฯ นั้นมิได้เกิดจากปัจจัยภายนอกตามที่อ้างเพียงอย่างเดียว แต่มันเกิดจากปัจจัยภายในด้วย นั่นคือ ระบบการเงิน การคลัง ที่เอื้อต่อชนชั้นปกครอง

โดยในขณะนี้เศรษฐกิจของสหรัฐฯกำลังอยู่ในช่วงฟองสบู่ นั่นคือมูลค่าในตลาดหุ้นเกินกว่า 200% ของ GDP ซึ่งเป็นมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม และP/E ratioก็สูงถึงกว่า 37 เท่า นั่นคือราคาที่เกินจริงของหุ้น ดังนั้นบรรดามหาเศรษฐีอย่างวอเรน บัฟเฟตต์ บิล เกตส์  มาร์ค แซคเกิลเบิร์ก และอีรอน มัสก์ รวมทั้งบริษัท Apple ต่างเทขายหุ้น และหันไปถือครองสินทรัพย์ หรือตราสารการเงินระยะสั้นแทน ซึ่งมูลค่า MKT CAP ของตลาดหุ้นของสหรัฐฯนี้คิดเป็น 70% ของทั้งโลกรวมกัน และในอดีตก่อนปี 1929 ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯพังมันมีมูลค่า MKT CAP เพียง 100% ของGDPเท่านั้น แต่มันเป็นสัญญาณของการพังทลายลงของตลาดหุ้น และเกิดเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงในปี ค.ศ.1929

ที่สำคัญหลังจากนั้นสหรัฐฯ ก็กระตุ้นให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีค.ศ.1940 เพื่อให้เศรษฐกิจของตนฟื้นตัว ภายหลังที่ล้มลุกคลุกคลานมาเกือบ 10 ปี

และนี่อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยคือสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้หรือไม่!!!