Pi Daily แม้มีข่าวว่าทรัมป์จะผ่อนคลายกำแพงภาษีนำเข้า แต่สุดท้ายก็ออกมาปฎิเสธ ตลาดหุ้นไทย Valuation ถูกแต่ขาดปัจจัยหนุน

เมื่อวันที่ 7 ม.ค.68 บล.พาย เผยว่าตลาดหุ้น Dow Jones ปิดลบ 25 จุด (-0.06%) ในช่วงแรกนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่าทรัมป์กำลังหารือกับคนใกล้ชิดเกี่ยวกับการตั้งกำแพงภาษีเฉพาะบางสินค้าเท่านั้นก่อนที่จะออกมาปฎิเสธภายหลัง ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.27% การซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวนท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจที่แย่

เมื่อวานที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคประจำเดือน ธ.ค. พบว่าขยายตัว 1.2%YoY ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ปัจจัยหนุนเงินเฟ้อขยายตัวมาจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะฐานราคาที่ต่ำในช่วงปีก่อนหน้าประกอบกับราคาสินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มปรับสูงขึ้นจากราคาผลไม้สดโดยเฉพาะราคาเงาะ มะม่วง กล้วยน้ำว้า อย่างไรก็ตามมีราคาสินค้าบางชนิดราคาปรับลดลงได้แก่กลุ่มไข่และผลิตภัณฑ์นม (-0.96%YoY) และผักสด (-3.9%YoY) ตามการลดลงของราคาพริกสด มะเขือเทศ และมะนาว ส่วนหมวดอื่นๆที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่ม (+1.2%YoY) ตามการสูงขึ้นของราคาสินค้าในหมวดเคหสถาน (+0.4%YoY) ตามราคาค่ากระแสไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน และค่าแรงกระเบื้อง โดยราคาสินค้าที่ปรับลงได้แก่เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า (-0.5%YoY) จากการลดลงของราคาเสื้อยืดบุรุษ ด้านเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 0.8%YoY นับเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำสะท้อนถึงอุปสงค์ที่มิได้แข็งแกร่งมากนัก แต่ด้วยต้นทุนบางประเภทที่ปรับลงอย่างผักสดจะเป็นบวกกับหุ้นในกลุ่มร้านอาหาร (CENTEL MINT) ในขณะเดียวกันวานนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยทั้งหมดในปี 24 พบว่าอยู่ที่ 35.5 ล้านคน (+26%YoY) และสร้างรายได้ต่อประเทศได้ราว 1.67 ล้านล้านบาท (+34%YoY) 5 อันดับแรกได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย สำหรับปีนี้หลายๆสำนักคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่ 38-39 ล้านคน มองเป็นบวกกับหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีก (AOT CENTEL CPALL MINT) ส่วนต่างประเทศเมื่อคืนช่วงหัวค่ำตามเวลาประเทศไทยสำนักข่าววอชิงตันโพสต์ได้ออกมารายงานระบุว่า ทรัมป์ มีแผนจะผ่อนคลายนโยบายการตั้งกำแพงภาษี แม้จะยังมีแนวคิดจัดเก็บทุกประเทศแต่จะจำกัดเพียงบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีผลต่อความมั่นคงแห่งชาติหรือเศรษฐกิจสหรัฐฯเท่านั้น ทำให้ในช่วงแรกนั้นค่าเงินฝั่งเอเชียพลิกกลับมาแข็งค่าก่อนจะกลับมาอ่อนค่าเช่นเดิม เพราะทรัมป์ได้ออกมาปฎิเสธ ทั้งนี้คงต้องรอดูช่วงรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. ของทรัมป์อีกครั้ง แต่เบื้องต้นนั้นพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯยังปรับเพิ่มขึ้น สะท้อนว่านักลงทุนยังมิได้เชื่อมากนักกับข่าวที่วอชิงตันได้ออกมารายงาน วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1360 – 1380 ยังคงเป็นภาวะที่หุ้นไทย Valuation ถูกแต่ไร้ซึ่งความเชื่อมั่นและไม่มีปัจจัยบวก กระแสเงินทุนยังมิเห็นการไหลกลับอย่างมีนัยยะไม่ว่าจะสถาบันหรือจะต่างประเทศ โดยเฉพาะต่างประเทศยังไม่น่าเห็นการกลับมาซื้ออย่างมีนัยยะ ตามการเร่งตัวของ US Bond Yield และเงินบาทยังไม่มีทิศทางกลับมาแข็งค่า ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังเน้นเพียงแค่เก็งกำไรระยะสั้นสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง เน้นที่กลุ่มมีปัจจัยหนุน อาทิ ส่งออก (ITC TU) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) ค้าปลีก (BJC CRC HMPRO) 

BBL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 168.00 บาท)
คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตชะลอตัวที่ 2%/4.3% ในปี 2025-26 ด้าน ROE ปรับลดลงที่ 7.9%/7.8% ในปี 2025-26 จาก 8.1% ในปี 2024 และคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง 5.3-5.6% ในปี 2024-26 ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 4Q เราคาดกำไรจะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาลที่ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และรายได้ดอกดเบี้ยลดลง แต่กำไรจะปรับสูงขึ้น YoY จากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นหลัก

HMPRO (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 12.50 บาท)
ท่ามกลางกำลังของผู้บริโภคที่ชะลอตัว ประกอบกับงานก่อสร้างและการโอนโครงการอสังหาที่ลดลง ทำให้การจับจ่อยใช้สอยในส่วนของสินค้าซ่อมแซมและตกแต่งบ้านจะชะลอตาม แต่เราคาดว่า HMPRO จะรายงานกำไรสุทธิงวด 4Q24 ที่ 1.7 พันล้านบาท (+3%YoY, +20%QoQ) ผลจากยอดขาย Mega Home ที่ขยายตัวดี ประกอบกับค่าใช้จ่ายที่เริ่มควบคุมได้ดีขึ้นจาก Hybrid store ที่ทยอยเห็นผล ขณะที่การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของ HomePro ช่วงเดือน ธ.ค. 2024 พลิกกลับมาบวกได้เล็กน้อย YoY จากฐานที่ต่ำในปีก่อน และ HomePro Super Expo ที่จัดเดือน ธ.ค.2024 เทียบกับ พ.ย.2023 ส่วน Mega Home ยังขยายตัวดีระดับ 3%-5% YoY

#บลพาย #ข่าววันนี้ #ทรัมป์ #กำแพงภาษี #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์