เมื่อวันที่ 4 ม.ค.68 นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ระบุว่า...

ยาแก้ปวดแรงฤทธิ์ แต่มีพิษต่อหัวใจและสมอง ในชีวิตนี้ใครไม่เคยปวดบ้างครับ ปวดหัว ปวดเข่า หลัง ข้อ กระดูก ต่างๆ นานา รวมทั้งปวดประจำเดือน ในผู้หญิง 

ร้อยทั้งร้อยเคยทานยาแก้ปวดมาทั้งนั้น ซึ่งก็บรรเทาเบาบาง หรือไม่ก็หายปวดเป็นปลิดทิ้ง (ทั้งนี้ไม่รวมปวดหัวใจเนื่องจากอกหัก) 

ทำให้ต้องหันมาพึ่งยาแก้ปวดกันเป็นประจำ 

หนำซ้ำบางรายยังไม่ทันปวด ทานไว้ก่อนเผื่อปวด และนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องมีศูนย์ต่างๆตามโรงพยาบาล ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ศูนย์ปวดท้องอาเจียนเป็นเลือด ส่องกล้อง กลืนแคปซูล ถ่ายภาพจิ๋ว และที่เราชอบมองข้ามไป คือ ไตวายครับ ยาแก้ปวดประดามีทำให้ ไตวายได้ ต้องล้างไต ฟอกเลือดกันเป็นแถว 
       
  ใน ค.ศ.2004 เป็นที่ฮือฮากันทั่วโลกเมื่อยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID หรือ Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drug) และออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงโดยยับยั้ง Cyclo-Oxygenase-2 (COX- 2 Inhibitor) ที่ชื่อว่า Vioxx (Rofecoxib) ถูกพบว่าทำให้เกิดคนตายจากหัวใจวายมากมาย 

จนทำให้บริษัทต้องถอนยาออกจากตลาด และถูกฟ้องร้องกันทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา 

ยาในกลุ่มนี้ยังมีอีกหลายตัวและอยู่ในตลาดของประเทศไทย ซึ่งก็มีคำเตือนกันมาตลอดว่ายากลุ่มนี้อาจจะไม่จริงที่ไม่กัดกระเพาะ 

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเมื่อได้รับยากลุ่มนี้ก็มักจะได้แถมยาป้องกันโรคกระเพาะตามกันมาด้วย และก็มีผลต่อไตเช่นเดียวกัน 

นอกจากนั้นผลข้างเคียงในการทำให้เกิดหัวใจวายก็ยังเกิดขึ้นได้ ยาในกลุ่มนี้นอกจาก Vioxx  ที่ถอนจากตลาดไปแล้ว ได้แก่ Celebrex (Celecoxib) Arcoxia (Etoricoxib) Dynastat (Parecoxib) ยาในกลุ่ม NSAID และไม่ได้มีฤทธิ์เจาะจงต่อ COX-2 อย่างกลุ่มที่กล่าวข้างต้นมีหลายตัวเช่น Voltaren (Diclofenac) Indocid (Indomethacin) Clinoril (Sulindac) (Phenylbutazone) Ponstan (Mefenamic acid)  Mobic (Meloxicam)  Feldene (Piroxicam)  Brufen (Ibuprofen) Naprosyn (Naproxen) Aspirin (Acetylsalicylic acid)  (Nimesulide) 

ในประเทศไทยยาเหล่านี้มีหลายชื่อทางการค้า ถึงแม้จะเป็นยาตัวเดียวกัน ถ้าผลิตจากต่างบริษัทกัน ซื่อในวงเล็บคือชื่อสามัญ 
ดังนั้น เวลาใช้ต้องถามคนขายหรือเภสัชกรให้แน่ชัดว่า ซ้ำซ้อนกับยาที่ใช้อยู่หรือเปล่า 

ยาในกลุ่ม NSAID ทั้งที่เจาะจงและที่ไม่เจาะจงกับ COX-2 นี้ เวลาใช้ต้องระวังหรือใช้ไม่ได้ในคนที่มีตับและไตไม่สมบูรณ์ด้วยโดยเฉพาะที่อยู่ในขั้นรุนแรง
เรื่องที่น่าตกใจเกี่ยวกับยาแก้ปวดกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง เมื่อมีการตอกย้ำอันตรายที่กลัวกันให้เห็นกันได้ชัดเจนถนัดถนี่ยิ่งขึ้น  

รายงานนี้มาจากมหาวิทยาลัย Bern ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในวารสารการแพทย์ของอังกฤษ (British Medical Journal) ในวันที่ 11 มกราคม 2011 โดย นายแพทย์ Sven Trelle และคณะ โดยมีนายแพทย์ Peter JÜni เป็นผู้นำคณะ 

(และรายงานหลังจากนี้จนกระทั่งถึงปัจจุบันได้ผลลัพธ์ในลักษณะเดียวกันทั้งสิ้น)

ทางคณะทำการรวบรวมวิเคราะห์การศึกษาเกี่ยวกับยา NSAID ทั้งหมด 31 ชิ้น ซึ่งมีการติดตามผลกระทบหรือผลข้างเคียงต่อสุขภาพในผู้ป่วย 116,429 ราย 

ที่ใช้ยา Naproxen Ibuprofen Diclofenac Celecoxib  Etoricoxib  Lumiracoxib  Rofecoxib 

ผลจากการวิเคราะห์พบความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหลายเท่าต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจ เส้นเลือดสมองตีบ และการเสียชีวิตที่เกี่ยวกับระบบหัวใจและเส้นเลือดทั้งหมด (ซึ่งรวมหัวใจล้มเหลว จากกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอลง หัวใจเต้นผิดปกติ  ลิ่มเลือดอุดเส้นเลือดในปอดเข้าไปด้วย) ความเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดหัวใจตีบเรียงลำดับจากอันตรายมากมาหาน้อย ได้แก่ 

Rofecoxib (ถอนจากตลาดทั่วโลกตั้งแต่ปี 2004)(2.12เท่า) Lumiracoxib (2 เท่า) Ibuprofen (1.61 เท่า) Celecoxib (1.35 เท่า) Naproxen และ Diclofenac (0.82 เท่า) Etoricoxib (0.75 เท่า) เมื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดอัมพฤกษ์หรือเส้นเลือดสมองตีบ ที่ลดหลั่นกันมาจากสูงไปหาต่ำ ได้แก่ Ibuprofen (3.36 เท่า) Diclofenac (2.86 เท่า) Lumiracoxib (2.81 เท่า) Etoricoxib (2.67 เท่า) Naproxen (1.76 เท่า) Celeloxib (1.12 เท่า) และ Rofelcoxib (1.07 เท่า) 
และเมื่อรวมความเสี่ยงอันเกี่ยวเนื่องกับระบบหัวใจและเส้นเลือดทั้งหมด ตัวที่อันตรายที่สุด คือ Etoricoxib หรือ ชื่อการค้าคือ Arcoxia (4.07เท่า) Diclofenac หรือ Voltaren (3.98 เท่า) Ibuprofen หรือ Brufen (2.39 เท่า) Celecoxib หรือ Celebrex (2.07 เท่า) Lumiracoxib (1.89 เท่า) Rofecoxib หรือ Vioxx (1.58 เท่า) และ Naproxen หรือ Naprosyn (0.98 เท่า)

ทั้งนี้จะเห็นว่า ยาแก้ปวดไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม NSAID ชนิดออกฤทธิ์ เจาะจงหรือไม่เจาะจงกับ COX-2   ไม่มีกลุ่มใดหรือตัวใดปลอดภัยเลย โดยที่ถ้าไม่ทำให้เส้นเลือดหัวใจตีบก็เกิดเป็นอัมพฤกษ์จากเส้นเลือดสมองแทน หรือไม่ก็มีผลทางอ้อมต่อการตายอันเกี่ยวเนื่องกับระบบเหล่านี้ 

ถ้าตัด Rofecoxib ไป (เพราะไม่มีจำหน่ายแล้ว) Lumiracoxib คือยาอันตรายสุดต่อเส้นเลือดหัวใจ (2 เท่า)   Ibuprofen เสี่ยงสูงสุดต่ออัมพฤกษ์ (3.36 เท่า) ตามด้วย Diclofenac (2.86 เท่า) Etoricoxib เสี่ยงสูงสุดต่อการตายทั้งหมดอันเกี่ยวเนื่องกับระบบหัวใจเส้นเลือด (4.07) ตามด้วย Diclofenac (3.98) 

การที่ความเสี่ยงต่อโรคต่างๆที่กล่าวมาไม่มีความเจาะจงกับกลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อ COX-2 หรือไม่ อาจเป็นเครื่องแสดงว่ามีกลไกอื่นๆอีกที่ต้องทำการศึกษาต่อ เช่น ผลของยาแต่ละตัวต่อ prostacyclin   thromboxane A2 ต่อการทำงานของหลอดเลือด และการสร้าง Nitric oxide ซึ่งมีผลต่อการหดขยายเส้นเลือด ผลต่อความดันโลหิต ต่อไต และการเก็บและขับน้ำและเกลือแร่จากร่างกาย
      
ในประเทศสหรัฐเองมีการวิเคราะห์ว่าคนไข้ที่ไปพบแพทย์  มีไม่ต่ำกว่า 5% ที่จะได้รับยาแก้ปวด แก้อักเสบเหล่านี้ ถ้ากลับย้อนดูในประเทศไทยน่าจะมีมากกว่านี้ ทั้งนี้ เพราะเป็นที่เคยมือของแพทย์ที่จะสั่งยาแก้ปวดให้คนไข้ที่มาด้วยอาการปวดเมื่อย ปวดข้อ กระดูก ปวดเข่า ปวดหัว 

และมิหนำซ้ำ ยาเหล่านี้สามารถซื้อหาได้ทั่วไป และนี่เป็นบทเรียนอีกหนึ่งตัวอย่างที่ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าต้องใช้ยาเมื่อมีความจำเป็น ยาที่ใช้เป็นการรักษาที่ต้นตอหรือสาเหตุ หรือเพียงเพื่อบรรเทาอาการ ยามีผลข้างเคียงหรือแทรกซ้อนอะไรบ้าง และคุ้มหรือไม่ที่จะนำมาใช้ รวมทั้งยามีผลขัดฤทธิ์เสริมฤทธิ์กับยาตัวอื่นที่คนไข้ใช้อยู่ประจำหรือไม่
        
 ยาแก้ปวดจึงเป็นยาที่เพียบพร้อมมีอันตรายต่อกระเพาะ หลอดอาหาร กรดไหลย้อน ไต ตับ หัวใจ สมอง นึกถึงยาแก้ปวดเมื่อไหร่นึกถึง ICU ด้วยนะครับ

ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก 
มหาวิทยาลัยรังสิต
รูปจากพินเทอเรส