นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดอย่างมั่นใจ หลายครั้ง ในหลายเวที ว่าการปฏิวัติรัฐประหาร จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว “รับรองว่า ไม่มีรัฐประหาร อีกแล้ว”
“เขาคิดว่า จะเหมือนเก่า คิดว่าหาเรื่องวุ่นวายไป วุ่นวายมา เดี๋ยวทหารก็จะออก แต่เดี๋ยวนีั ไม่มีแล้ว หมดยุค เลิก ทหารรู้ดีว่าบ้านเมืองเสียหาย ไปมาก
วันนี้องค์กรอิสระเขายึดหลักบ้านเมืองแล้ว เขาไม่ยึดหลักเก่าๆแล้ว ก็จะทำให้บ้านเมืองเข้มแข็งขึ้น” อดีตนายกฯ ผู้เคยถูกรัฐประหาร กล่าว
รวมทััง มั่นใจว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว ที่เป็นนายกรัฐมนตรีหญิง คนที่ 2 ของประเทศ จะเป็น นายกฯจากตระกูลชินวัตร คนแรก ที่ไม่ถูกรัฐประหาร และเชื่อมั่นใจว่า รัฐบาลแพทองธาร จะอยู่ครบเทอม
แม้ว่า จะมีปัญหารุมเร้า ทั้งกับเมียนมา กับ กัมพูชา โดยเฉพาะ MOU 44 ที่จะเป็นชนวนเหตุ ให้ม็อบลงถนน ตามคำประกาศของ สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตผู้นำม็อบพันธมิตรฯ และเกิดการจับมือกันของ ศัตรูเก่าของ ทักษิณ เคลื่อนไหวหนักหน่วง ในการตรวจสอบด้านกฎหมาย ก็ตาม แต่ ทักษิณ ก็รอด จากการร้องเรียน เรื่องการครอบงำพรรค และ นายกรัฐมนตรี แม้จะยังเหลือเรื่อง การนอนป่วยที่ ชั้น 14 รพ.ตำรวจ จริงหรือไม่ แต่ก็ดู ทักษิณ ไม่ได้สะทกสะท้าน
ที่สะท้อนว่า ทักษิณ ย่อมตัองมั่นใจอย่างมาก ที่อาจเป็นเพราะมี “ดีล” อยู่ ดีล ที่ทำให้ ทักษิณ ได้กลับประเทศไทย จากที่ต้องใช้ชีวิต ในต่างแดน 17 ปี ตั้งแต่ ถูกรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 และ ดีล ในการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว กับ พรรคสายอนุรักษ์นิยม พรรคภูมิใจไทย และ พรรคในสาย 3 ป. ทั้ง พรรคพลังประชารัฐ ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ 3 ป. และ รวมไทยสร้างชาติ พรรคDNA ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คณะรัฐประหาร ล้ม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อ 22 พ.ค.2557
แม้ว่าเมื่อ แพทองธาร ขึ้นมาเป็นนายกฯ ต่อจาก เศรษฐา ทวีสิน ที่ศาลรัฐธรรมนูญให้หลุดเก้าอี้ ก็เป็นจังหวะ ที่ เอา พรรคพลังประชารัฐ ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ไปเป็นฝ่ายค้าน จากการที่เชื่อว่า พล.อ.ประวิตร อยู่เบื้องหลัง การล้ม เศรษฐา จากการลงมติของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ผิดคาดของฝ่ายรัฐบาล
อีกทั้ง ทักษิณ ไม่ต้องเกรงใจ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะความสัมพันธ์พี่น้องกับ พลเอกประวิตร ก็ยังอยู่ในขั้นวิกฤต นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ นำทีม ดีล ตั้งรัฐบาลกับ พรรคเพื่อไทย
จากที่ พล.อ.ประวิตร เป็นฝ่าย ดีล อีกดีลหนึ่งต่างหาก กับ ทักษิณ มาตั้งแต่ยังอยู่ต่างแดน อันเป็นผลจาก “ดีลลังกาวี” ที่ ทักษิณ ตัดสินใจ เลือก ที่จะดีล กับ ขั้วของ พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่า ขั้วของ พล.อ.ประวิตร เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ มีอนาคตที่ดีกว่า ในเวลานั้น และยังมีพาวเวอร์ และกองหนุนมากกว่า และไม่ได้ต้องการ เก้าอี้ นายกรัฐมนตรี
รวมทั้ง ทักษิณ ได้เห็น สัญญาณต่างๆ แล้ว จึงมั่นใจในดีล จนทำให้ ทักษิณ ประกาศ ตั้งแต่ ก่อนกลับไทย จนกลับมา และจนทุกวันนี้ ว่า จะทำเพื่อสถาบันฯ เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เพราะ ทักษิณ ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ อีกทั้ง นางสาวแพทองธาร ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ในการบริหารประเทศ
ที่สำคัญคือ สัญญาณจากกองทัพ ที่เป็นเขี้ยวเล็บของ ขั้วอนุรักษ์นิยม ที่จะไม่ก่อการรัฐประหาร หรือ สร้างสถานการณ์ ด้วยทฤษฎีสมคบคิดขึ้นมาอีก
เพราะกองทัพ ตั้งแต่ปี 2560 หลังเปลี่ยนรัชกาล ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะ หน่วยที่เป็นขุมกำลังรบหลัก หรือที่ถูกเรียกว่าหน่วยกำลังปฎิวัติก็ถูกโอนย้ายไปเป็นหน่วยทหารในพระองค์ ทั้ง ร.1รอ. และ ร.11 รอ. กำลังหลักของ พล.1 รอ. ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นกองพลปฏิวัติ
รวมทั้งการจัดวางกำลังรถถัง ของ พล.ม.2 รอ. ในเขต กทม. ใหม่ ด้วยการนำรถถังหลัก ออกไปอยู่นอกกรุง ไปอยู่หน่วย ที่สระบุรี แทน คงเหลือแต่ รถเกราะ และรถสายพาน เพราะ รถถัง ถูกมองว่า เป็น เครื่องมือ ในการรัฐประหาร
สัญญาณ ที่ชัดเจน เคยทำให้ เมื่อครั้งที่ “บิ๊กบี้” พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ เป็น ผบ.ทบ. ยาว 3 ปี ยืนยันว่า โอกาสในการรัฐประหาร เป็น ศูนย์ ถึง ติดลบ ที่เมื่อก่อนเกษียณ ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้โอนย้าย ไปอยู่หน่วยทหารในพระองค์
ประกอบกับการตั้ง หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ,904) หรือ ฉก.ทหารคอแดง ของ ทบ. ที่เสมือนเป็น กองทัพซ้อน ทบ. อยู่ เพราะ ผบ.ทบ. ต้องเป็นทหารคอแดง และเป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย ต่อเนื่องมาตั้งแต่ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่เป็น ผบ.ทบ.คอแดง คนแรกและเป็นผู้มีบทบาทในการก่อตั้งผบ.ฉก.ทม.รอ.904 และกำเนิดทหารคอแดง ในทบ.
แม้ตั้งแต่ 1 พ.ย.2567 ที่ผ่านมา เป็นต้นไป การปรับโครงสร้าง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ที่ ผบ.ทบ. ไม่ต้อง เป็นทหารคอแดง กลับมาเป็นทหารคอเขียว และ ไม่ต้องเป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 โดยให้ แม่ทัพภาค1 เป็นคอแดง และ เป็น
ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ส่งผลให้ ทหารคอแดง ที่อยู่นอกกองทัพภาค 1 ต้องกลับมาเป็น ทหารคอเขียวหมด
เหล่านี้ อาจทำให้ ทักษิณ มั่นใจว่า การรัฐประหาร จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว และทำให้ มีวาทกรรม ที่ว่า “ผมไม่หมู อีกแล้ว” ทักษิณ จึงไม่ห่วงว่า หากเกิดม็อบลงถนน เกิดความวุ่นวายอีกแล้ว จะจบลงด้วยการรัฐประหาร เช่นที่ผ่านมา
แต่กระนั้น พรรคเพื่อไทย ก็ยังเดินหน้า ร่าง พรบ. จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เพื่อสกัดการรัฐประหาร ด้วยการเขียนให้อำนาจ นายกฯ นำเข้า ครม. สั่งย้าย พักราชการ นายทหารที่คิดก่อการรัฐประหาร
ที่แม้ว่าในทาง ปฏิบัติแล้วจะไม่มีกฎหมายฉบับไหนที่สกัดกั้นการรัฐประหารได้แม้แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญที่เมื่อเกิดการรัฐประหารคณะรัฐประหารก็จะสั่งยกเลิกการใช้รัฐธรรมนูญเป็นอย่างแรก แต่ทว่าพรรคเพื่อไทยต้องการเขียน ในกฎหมายกลาโหมเพื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์ของการต่อต้านรัฐประหาร
แต่ด้วยเพราะมี ดีล ทางพรรคเพื่อไทย จึงไม่ใช้ร่างของ ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ แต่กลับมาใช้ร่างฯ ที่ร่างขึ้นโดยกระทรวงกลาโหมในยุคของ สุทิน คลังแสง เป็นรมว.กลาโหม ที่ถือว่าซอฟต์ ที่สุด เป็นร่างหลักของรัฐบาลในการเสนอเข้าสภาสู้กับร่างของพรรคการเมืองต่างๆ
แต่จะนำมาปรับปรุงแก้ไข ก่อนนำเข้าสภากลาโหม และ ครม. ที่มีกระแสข่าวว่า ฝ่ายการเมือง ที่ ภูมิธรรม เวชชชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นคนรับผิดชอบ จะยอมถอยในการไม่เขียนตรงๆ ในก.ม. แต่จะใช้วิธีการ เปลี่ยนสัดส่วน ของ คณะกรรมการโยกย้ายนายพล ของกลาโหม หรือ บอร์ด7 เสือกลาโหม แทน ที่ต้องรอดูว่า ผบ.เหล่าทัพ จะยินยอม หรือเห็นด้วยหรือไม่
โดย ผบ.เหล่าทัพชุดนี้ ส่วนใหญ่ กำลังจะเกษียณ ก.ย.2568 ทั้ง พล.อ.สนิธ ชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม “บิ๊กอ๊อบ” พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหาร สูงสุด “บิ๊กแมว” พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร. “บิ๊กไก่” พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ. คง เหลือแต่ “บิ๊กปู” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. คนเดียว ที่อายุราชการถึง ต.ค.2570
ท่ามกลาง การชิงเก้าอี้ แม่ทัพภาค1 ของทหารคอแดง และการชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ที่เข้มข้นไม่น้อย ที่ต้องรอดูบทบาทของ ภูมิธรรม มือขวา ทักษิณ ที่รู้ดีถึง อำนาจของ ผบ.เหล่าทัพ ในการตั้ง ผบ.เหล่าทัพ แม่ทัพนายกอง ตาม อำนาจ บอร์ด7 เสือกลาโหม ตามพรบ. กลาโหม ปี 2551 ที่ เป็นเกราะกำบัง ฝ่ายการเมือง เป็นอย่างดี แต่ก่อนถูกมองว่าเป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจในกองทัพ ของ ผบ.เหล่าทัพ นั่นเอง