เดือดพล่านที่บ้านเกิด สำหรับการเมืองไทยที่แสงสปอตไลต์ฉายจับไปที่การเคลื่อนไหวของ ประมุขสูงสุดแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ทักษิณ ชินวัตร โชว์ลีลาปราศรัยดุ อู้กำเมืองช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงใหม่  

โดยบางช่วงบางตอนของการปราศรัยเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ระบุว่า “ใครแรงมาก็แรงไป คิงเล่นฮา ฮาก็จะเล่นคิง และเดี๋ยวนี้ฮาไม่หมูนะคิง อย่ามาเล่นกะฮานะ รำคาญโคตรพ่อโคตรแม่อะไรนักหนา”!!

สะท้อนอารมณ์หงุดหงิดขั้นสุด ด้วยหากย้อนไปดู ก่อนประโยคก่อนนอตหลุด หรือลมปราณแตกซ่าน นั้นมีที่มาที่ไปที่เขากล่าวถึงข่าวสารการเมือง ที่ขยันเอาพวกขาประจำมาสัมภาษณ์ให้ออกมาด่าตนเอง  

ท่ามกลางเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ก่อนหน้านี้มีคำสั่งไปยังสื่อรัฐ แบน “ขาประจำบางคน” ไม่ให้ไปออกรายการสัมภาษณ์แล้ว

อย่างไรก็ตาม มีความพยายามถอดรหัสวลีเดือดจาก อดีตกกต. อย่าง สมชัย ศรีสุทธิยากร โดยยกระเบียบหาเสียงเลือกตั้งเทียบเคียง ประเมินว่า “ทักษิณ” ปราศรัยต่ำกว่ามาตรฐานการหาเสียงทั่วไป พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ทักษิณ จะถึงจุดที่ต้องใช้ถ้อยคำรุนแรงแบบนี้ หรืออาจจะมีเรื่องกดดัน อึดอัดใจมากเป็นพิเศษ

แม้เนื้อหาสาระส่วนใหญ่จะเป็นการสื่อสารการเมืองเพื่อต่อสู้กับพรรคคู่แข่งอย่างพรรคประชาชน ในทำนองว่า ดีแต่พูด ทำงานไม่เป็นก็ตาม

ทว่า นัยยะจากสนามอารมณ์ของ “ทักษิณ” นั้น เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่ ตัวเขากำลังถูกล้อมกรอบให้กลับด้วยความพยายามที่จะผลักให้เขากลับไปถูกคุมขัง ด้วยกรณีชั้น 14  จากการเคลื่อนไหวรวมตัวกันของขาประจำ ปีกอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชน อดีตแกนนำ กปปส. และอดีตลูกน้องเก่า  ขาประจำอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ แก้วสรร อติโพธิ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่ไปปรากฏตัวให้กำลังใจป.ป.ช.ในการพิจารณาคดีชั้น 14

แม้ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะปลดล็อก กรณีชั้น 14 ไม่รับคำร้องและเป็นช่องให้ต่อสู้ ในทางที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันไปทุกองค์กร แต่ก็ยังคงมีการเตรียมร้องต่อศาลฎีกาในกรณีนี้เดียวกันนี้อีก

ขณะที่เพื่อไทยเอง ก็ยังเผชิญกับนิติสงคราม  เหลือคดีอยู่ในกกต. ที่เชื่อมโยง “มาม่าบ้านจันทร์ส่องหล้า”  ซึ่ง “ทักษิณ” ก็ประกาศว่า ใครอยากยื่นร้องก็เชิญ แต่ถ้ายื่นผิดก็ตั้งรับไว้ด้วยแล้วกัน

ส่วนรัฐบาลแพทองธาร ก็เผชิญกับ  “คลื่นใต้น้ำ” ในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน จากทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ

ซึ่ง “ทักษิณ”เองก่อนหน้านี้ก็เคยหลุด ตะเพิด “อีแอบ” ให้ออกจากพรรคร่วมรัฐบาลไปแล้วรอบหนึ่ง ที่มีรัฐมนตรีหลบประชุมครม. เรื่องภาษีฯ  กระทั่งเจอหวดอีกรอบ ด้วยการงัดข้อจากสส.พรรคภูมิใจไทยในการโหวตให้ทำประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

จนต้องมีฉากร่วมก๊วนตีกอล์ฟ ระหว่าง “ทักษิณ” กับ อนุทิน ชาญวีรกูล  และมหาเศรษฐีด้านพลังงาน   อย่าง สารัชถ์ รัตนาวะดี   และ คงกระพัน อินทรแจ้ง ซีอีโอปตท.  และฉากที่ “ทักษิณ”ร้องเพลง โดยมี “อนุทิน”ร่วมเล่นคีย์บอร์ดอยู่ข้างหลัง

แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า รอยร้าวจะเชื่อมได้สนิท ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ก็จะต้องเล่นบท “ตบ-จูบ”กันไปเช่นนี้ 

ด้วยแม้จะมีฉากที่ “อนุทิน” ร่วมกีวนกอล์ฟ กับ “ทักษิณ” แต่ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคภูมิใจไทย คือ เนวิน ชิดชอบ จะเห็นดีเห็นงามด้วยหรือไม่ ยังไม่มีใครล่วงรู้ได้

ยิ่งล่าสุด การรถไฟฯออกแถลงการณ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง ก็พุ่งชน “ขาใหญ่บุรีรัมย์”ไปเต็มๆ

กระนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องต่อสู้และต่อรองกันไป ตามครรลองทางการเมืองอย่างที่ “ทักษิณ” บอกว่า พรรคร่วมรัฐบาล ก็เหมือน “ลิ้นกับฟัน” สุดท้ายก็จะอยู่ด้วยกันจนจบ!!

 เพราะเอาเข้าจริง บรรดานักวิเคราะห์ก็เชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยเอง ก็คงจะไม่ออกไปเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาชน  เช่นเดียวกันกับพรรครวมไทยสร้างชาติ  ที่พวกเขา “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน”

ขณะเดียวกันพรรคกล้าธรรม ก็เหมือนจะพร้อมเคียงข้าง และจะเป็นตัวแปรสำคัญ โดยเฉพาะคำประกาศของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ฮึ่มๆ ไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลถ้าคัดค้านนโยบายของพรรคแกนนำก็ให้ออกไป

การเมืองในใต้ปีกการบริหารของ “รัฐบาลพ่อเลี้ยง” ดูเหมือนว่าจะมี คนมาช่วยเลี้ยง  ให้เดินไปตามร่องตามรอย ที่ “ทักษิณ”กำหนดไว้ เว้นเสียแต่ว่าจะมีปัจจัยแทรกซ้อน