ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
ในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมาของรัฐบาลไบเดน โลกเต็มไปด้วยความตึงเครียดจากการเผชิญหน้าและสงคราม
ดังนั้นเมื่อทรัมป์ประกาศจะสร้างสันติภาพโดยเฉพาะในยุโรปตะวันออกกลางและที่อื่นๆ โลกก็ดูจะมีความหวังขึ้น ความกลัวเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือสงครามนิวเคลียร์ดูจะลดลง แต่ลองมาพิจารณาคำพูดและพฤติกรรมของทรัมป์ก่อนสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 กัน
เบื้องต้นมาทำความเข้าใจในความเป็นจริงกันก่อนว่าทรัมป์จะสามารถจัดการกับอิทธิพลของ DEEP STATE ต่อการเมืองของสหรัฐฯได้หรือไม่ตามที่ทรัมป์ประกาศ
ประเด็นนี้ทรัมป์เองก็รู้กันอยู่แก่ใจตัวเองว่าที่ได้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้งได้เพราะมี DEEP STATE หรือ THE ESTABLISHMENT ให้การสนับสนุนอย่างเป็นนัยสำคัญ ทั้งนี้เพราะพลังเบื้องหลังการเมืองสหรัฐฯ ตระหนักว่าการใช้กมลา แฮร์ริส เป็นตัวเล่นออกหน้ามันก็เหมือนกับการเอาเงาของไบเดนมาแสดงบทนำ ซึ่งคนอเมริกันเบื่อหน่าย และเริ่มพุ่งเป้าไปสู่การมีอยู่และบทบาทของ DEEP STATE ที่กำหนดทิศทางนโยบายทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง ซึ่งคนอเมริกันผู้เสียภาษีเริ่มไม่เห็นด้วยและต้องการการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น DEEP STATE (D.S) จึงต้องเปลี่ยนตัวเล่น ซึ่งทรัมป์มีคุณลักษณที่โดดเด่น ดึงดูด และสอดรับกับความต้องการของอเมริกันชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม WHITE SUPREMACY (คนผิวขาวที่คิดว่าตนเหนือกว่า) โดยทรัมป์มีบุคลิกที่เข้มแข็งเด็ดขาด ภายใต้คำขวัญ AMERICA FIRST (อเมริกาต้องมาก่อนหรือเป็นที่หนึ่ง) กับอีกคำขวัญคือ MAKE AMERICA GREAT AGAIN (ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง) ทำให้ทรัมป์มีคุณลักษณ์ที่จะเปลี่ยนจุดสนใจของสาธารณะจากบทบาทของ D.S มาสู่การติดตามการนำของทรัมป์ที่เกือบเหมือนบทบาทผู้นำของภาพยนตร์ฮอลลีวูด โลกมายาที่ถูกกับรสนิยมอเมริกัน
ด้วยข้อพิจารณาดังกล่าว D.S ที่ทรงพลังและมีอิทธิพลที่สะสมมายาวนาน จากการกุมอำนาจทางธุรกิจหลากหลาย ตั้งแต่การเงิน อุตสาหกรรมผลิตอาวุธ สื่อสิ่งพิมพ์และทีวี ธุรกิจภาพยนตร์ ธุรกิจพลังงาน ตลอดจนธุรกิจอาหารและยา ที่ล้วนแต่เป็นธุรกิจใหญ่โตมโหฬาร ที่สามารถควบคุมนโยบายของสหรัฐฯและมีอิทธิพลต่อโลก โดยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นตัวเล่น หากใครนอกลู่นอกทางก็จะถูกสังหารแบบเดียวกับประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี
ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่าทรัมป์ยากที่จะกำจัดอิทธิพลของ D.S ที่คอยกำกับเวที แต่ทรัมป์จะเป็นตัวเล่นที่จะทำให้คนอเมริกันต่างยอมรับและเป็นตามความฝันของอเมริกันชนจำนวนมาก (AMERICAN DREAM)
หากพิจารณาคุณสมบัติของทรัมป์แล้วจัพบว่าเขาตีบทแตกในการแสดงบทบาทเฉกเช่นที่มาคิอาเวลลี เขียนไว้ในหนังสือชื่อ THE PRINCE นั่นคือผู้นำที่เจ้าเล่ห์แบบสุนัขจิ้งจอกภายใต้การคลุมร่าง ด้วยหนังราชสีห์คือดูมีอิทธิพลอำนาจบารมีดุจราชสีห์แต่เบื้องลึกคือเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอก
ข้อพิจารณาต่อมาคือ สิ่งที่ทรัมป์พูดหลังได้ทราบผลการเลือกตั้งก่อนสาบานตนรับตำแหน่ง
ประการแรกทรัมป์ประกาศว่าจะทำให้เกิดสันติภาพในยูเครนภายใน 24 ชม. โดยสร้างภาพว่ามีสายสัมพันธ์อันดีกับประธานาธิบดีปูติน ขนาดยกหูคุยกันช่วงหาเสียง แม้สำนักงานประธานาธิบดีปูติน นายเปสคอฟจะออกมาปฏิเสธ แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจนักเลือกเชื่อแต่ทรัมป์ อย่างไรก็ตามนักวิชาการส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าจะทำได้ใน 24 ชม. แต่ก็เอาเถอะทรัมป์ก็ได้ดำเนินการให้นายคีธ เคนลอค เป็นตัวแทนเริ่มเจรจาแล้ว สำเร็จหรือไม่ก็คอยดูกัน
ประการต่อมาทรัมป์ยิงคำขู่เป็นชุดราวกับเครื่องยิงจรวด HIMARS เริ่มจากขู่ขึ้นภาษีสินค้าจีน 100% แคนาดาและเมกซิโก 25% ถ้าไม่ยอมปรับดุลการค้าที่เมกาเสียดุล
ขู่สมาชิกบริกส์ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศเหล่านั้น 100% ถ้าเลิกใช้ดอลลาร์ ซึ่งหมายรวมถึงจีน อินเดีย และรัสเซีย
ทรัมป์ขู่แม้แต่พันธมิตรของตนเอง นอกจากแคนาดา ตามที่กล่วมาแล้ว ยังขู่ไต้หวัน และสมาชิกนาโต ให้เพิ่มงบการทหารเป็น 10% ของ GDP ซึ่งถือว่าเป็นภาระหนักพ่วงด้วยการสั่งให้ยุโรป ซื้อน้ำมันจากสหรัฐฯ มาแนวนี้ก็ชัดว่าอุตสาหกรรมผลิตอาวุธและน้ำมันของสหรัฐฯ อันเป็นส่วนหนึ่งของ DEEP STATE ก็จะได้รับประโยชน์เต็มๆ อย่างนี้จะเรียกว่าจะล้มหรือสนับสนุน D.S กันแน่
นอกจากคำขู่เหล่านี้ท่าทีชัดเจนของทรัมป์ในการสนับสนุนอิสราเอลก็ส่อแววการขยายสงครามตามความต้องการของเนทันยาฮู ซึ่งก็สอดรับกับความต้องการของ DEEP STATE หรือขบวนการไซออนิสต์ ที่ชัดๆคือ ขู่ฮามาสให้ส่งคืนตัวประกันก่อนที่ 20 ม.ค. อันเป็นวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง มิฉะนั้นจะทำให้กาซาเป็นนรก ก็เลยมีคนถามว่าทุกวันนี้กาซามันยิ่งกว่านรกแล้ว จะทำให้มันเป็นนรกได้อย่างไร
อนึ่งยังขู่ปานามาให้ลดค่าผ่านคลองไม่งั้นจะยึดคลองด้วยกำลัง
กล่าวโดยสรุปคือยังไม่ทันเข้ารับตำแหน่งทรัมป์ก็สร้างความตึงเคลียดกับชาวโลกด้วยการขู่เสียแล้ว ยังไม่เห็นนโยบายชัดๆเรื่องการสร้างสันติภาพเลย
ยิ่งไปกว่านั้นทีมงานสำคัญของทรัมป์ เช่น นายรูบิโอ ว่าที่รมต.การต่างประเทศ นายไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคง และอีกหลายตำแหน่งล้วนแต่เป็นสายเหยี่ยวทั้งนั้น รวมทั้งนายเคนลอค แล้วจะคาดหวังว่าคนเหล่านี้จะช่วยทรัมป์สร้างสันติภาพได้อย่างไร
อนึ่งมีบางท่านวิเคราะห์แนวทางปฏิบัติของทรัมป์โดยมองในมุมบวก โดยยกตัวอย่างกรณีการเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ในช่วงทรัมป์ 1.0 และ สานต่อในสมัยไบเดน นั่นคือการกดดันด้านเศรษฐกิจและการทหาร โดยยกเอาไต้หวันเป็นโชคพอยท์ จุดเริ่มของการปะทุความขัดแย้ง
ผู้มองโลกในแง่ดีมองว่าในขณะนี้สหรัฐฯเริ่มลดความสำคัญของไต้หวันลง นั่นคือการย้ายแหล่งผลิตไมโครชิปที่มีขนาดเล็กมากขนาด 3 นาโน ซึ่งเทคโนโลยีนี้สหรัฐฯเกรงจะตกกับจีน จึงย้ายไปแอริโซนาสหรัฐฯ ดังนั้นทรัมป์ก็อาจใช้ไต้หวันเป็นจุดเริ่มต้นการเจรจา แลกเปลี่ยนกับจีนให้ลดการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ จากขาดดุลเป็นเกินดุล โดยจีนมีส่วนเกินดุลจากส่วนอื่นๆของโลกอยู่แล้ว และไม่ยากที่จีนจะจัดการให้บริษัทที่ส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจหันมาสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นหรือลดภาษีถึงขั้นจ่ายเงินอุดหนุน
ถ้าเป็นอย่างนี้ทั้ง 2 ฝ่ายก็จะวิน-วิน หรือ POSTIVE SUM GAME เพราะจีนต้องการรวมไต้หวัน ซึ่งเป็นนโยบายหลัก ส่วนสหรัฐฯต้องการลดการขาดดุลจีน หรือยิ่งเป็นเกินดุลยิ่งดี ความขัดแย้งก็จะจบลงแบบ HAPPY ENDING
แต่นักวิเคราะห์ในแนวดังกล่าวลืมไปว่ามันไม่ใช่แนวคิดตามวัฒนธรรมมะกัน นั่นคือความเหนือกว่าของคนผิวขาว การที่เมกาจะยอมให้จีนผนวกไต้หวันจะถือเป็นการเสียหน้า แม้จีนอาจทำโดยสันติวิธีก็ตาม แต่ฐานะทางเศรษฐกิจจะเพิ่มพูนขึ้น โดยจีนอาจพิจารณาไปลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อส่งออกไปจีน นั่นก็ขัดกับความรู้สึกเหนือกว่าของคนขาว ที่ตอนนี้แอนตี้คนเอเชียในสหรัฐฯมากขึ้น หากจีนขึ้นนำเป็นอันดับ 1 ทางเศรษฐกิจมันก็ขัดแย้งกับสโลแกน AMERICA FIRST และ MAKE AMERICA GREAT AGAIN ทรัมป์และ FC จะยอมรับได้หรือ
(โปรดอ่านต่อตอนจบสัปดาห์หน้า)