จากกรณีเจ้าหน้าที่ศุลกากร ประจำสนามบินอิสตันบูล ประเทศตุรกี ได้ตรวจยึดลูกกอริลลา สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์และเป็นสัตว์สงวน เอาไว้ได้ขณะกำลังนำส่งเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีปลายทางที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดนครปฐม โดยเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ และตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) ได้บูรณาการการร่วมเข้าตรวจค้นความเป้าหมายที่มีชื่อระบุในเอกสารการนำเข้าส่งออก เชื่อมโยงลูกกอริลลาที่ถูกยึดได้นั้น

พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผู้บังคับการ ปทส. เปิดเผยว่า หลักฐานที่เชื่อมโยงพบว่าเลขใบอนุญาตการนำเข้าส่งออก สำแดงเป็นกระต่ายจำนวน 50 ตัว โดยมีปลายทางที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดนครปฐม จึงเป็นเหตุผลในการเข้าตรวจค้น แต่จากการตรวจค้นพบว่า สินค้าที่สำแดงในใบอนุญาตนำเข้าส่งออกนั้น ได้ถูกส่งมายังเจ้าของฟาร์มแล้วเป็นกระต่ายทั้งหมดจำนวน 50 ตัว โดยได้รับเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าของฟาร์มปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นเกี่ยวการนำเข้าลูกกอริลลา และจากการตรวจคนก็ไม่พบหลักฐานที่สามารถเอาผิดเจ้าของฟาร์มได้ ซึ่งหลังจากนี้ยังต้องประสานไปยังประเทศต้นทาง คือประเทศไนจีเรีย และเจ้าหน้าที่ศุลกากรของสนามบินอิสตันบูล เพื่อขอเอกสารและข้อเท็จจริงเพิ่มเติม รวมถึงจะขยายผลในเรื่องของผู้นำเข้าลูกกอริลาใครอยู่เบื้องหลังการนำเข้าในครั้งนี้

ด้านนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดเจ้าหน้าที่ต้องสืบสวนไปถึงเป้าหมายที่อยู่เบื้องหลังในกระบวนการครั้งนี้ให้ได้ เนื่องจากลูกกอริลลา อยู่ในบัญชีสัตว์ไซเตสประเภท 1 ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในภาคีตามอนุสัญญาไซเตสระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องหยุดยั้งขบวนการนำเข้าสัตว์ผิดกฎหมายประเภทนี้ให้ได้