หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ยืนหยัดฟันฝ่า ทุกอุปสรรค ทุ่มเท ทำงานรับใช้สังคม นำเสนอความจริง ผลงานก้าวสู่ปีที่ 74 เป็นเครื่องพิสูจน์ ...*...
ห้วงสัปดาห์ก่อนส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 สถานการณ์ในบ้านเมืองเรายังคงระดับความเข้มข้นเอาไว้ไม่มีแผ่ว หลายสิ่งหลายอย่างที่ดูเหมือนจะลงตัว ดูเหมือนจะพอไปได้ แต่เอาเข้าจริงแล้วล้วนไม่ต่างจาก น้ำที่ค่อยๆเดือด อุณหภูมิกำลังไล่ระดับอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ไปจนถึงสังคม ผู้คนแม้จะยิ้มได้ แต่ก็ยังไม่มีความหวัง ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย กำลังซื้อลดลง ขณะที่ “หนี้ครัวเรือน” พุ่งสูงมากขึ้น มาตรการแก้ปัญหาจาก “รัฐบาล” ยังไม่ตอบโจทย์ ได้อย่างแท้จริง การแจกเงินหมื่น เฟส ที่ 1 ผ่านไปแล้ว ส่วนเฟสที่ 2 กำลังจะตามมา ตรุษจีนปีหน้า แต่ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า “เงินหมื่น” ที่แจกให้ไปจะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรฐกิจ “แบบพายุหมุน” ได้จริงหรือไม่ ...*...
ปัญหาการเมืองไทยในบ้านเรา ยิ่งส่อเค้า “ปะทุ” รอวันระอุ ได้ทุกเมื่อ “พรรคเพื่อไทย” เสมือนอยู่ในวงล้อม “พรรคร่วมรัฐบาล” มากกว่าที่จะทำหน้าที่ “แกนนำ” ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูก “พรรคภูมิใจไทย” ท้าทาย ครั้งแล้วครั้งเล่า มิหนำซ้ำ ยังกลายเป็นว่า “เสียงคำราม” จาก “เจ้าของบ้านจันทร์ส่องหล้า” อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ก็แทบไม่มีความหมายใดๆ อีกต่อไปไม่ต่างจาก “เสียงบ่นของคนแก่” ที่ขลังเฉพาะ “คนเพื่อไทย” แต่เมื่อพ้นประตูพรรคตัวเองไปแล้ว ก็แทบไม่มีความหมาย ...*...
หลายคนรู้ดีว่า การกลับมาประเทศไทยของ “ทักษิณ” เกิดขึ้นภายใต้ “ดีลลับ” และเป็นดีลที่ต้องมีการ “แลกเปลี่ยน” แถมยังถูกจับตามองด้วยว่า “ดีลลับ” ที่ทำให้ ได้กลับบ้านเกิดเมื่อ 22 สิงหาคม 2566 นั้นอาจจะมีวัน “หมดอายุ” ไม่ได้อยู่ “ตลอดไป” ภารกิจ “ปราบส้ม” ด้วยการเข็น “แดง” ขึ้นมาสู้ แต่บัดนี้ผ่านพ้นมาเป็นเวลากว่า 1 ปีเศษแล้ว นอกจาก “แดง” จะไม่สามารถ “ครองใจ” ได้แล้ว ปรากฏว่า “สายสีน้ำเงิน” ของ “ภูมิใจไทย” ยังขยายอิทธิพล อย่างเงียบๆ ยึดทั้ง “สภาสูง” แถมการเลือกตั้ง “อบจ.” ปีหน้า 2568 “พรรคภูมิใจไทย” เตรียมลุยหนัก เพราะยึดสังเวียน “สนามท้องถิ่น” เอาไว้เรียบร้อยแล้ว ...*...
การปรากฏตัว ของ “ทักษิณ” เปิดหน้ากลางแจ้ง ต่างกรรม ต่างวาระ ที่ผ่านมาล้วนหวังผลทางการเมืองโดยปริยาย แต่ในความเป็นจริงเมื่อ วันนี้ “บริบท” ของผู้คน และสังคมเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่ “ทักษิณ” บรรยายผ่านเวทีหลายต่อหลายครั้ง จึงอาจไม่ใช่ “เรื่องใหม่” จนต้องร้องว๊าวออกมาดังๆ แต่ครั้นจะให้อยู่เฉยๆ “เลี้ยงหลาน” ใน “บ้านจันทร์ส่องหล้า” เจ้าตัวประเมินแล้วว่า “ลูกสาว” อย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯคนที่ 31 ก็คง “เอาไม่อยู่” เพราะลำพังทุกวันนี้ แค่ “เอาตัวให้รอด” จากการตอบคำถามสื่อ หรือการแสดงความเป็น “ผู้นำรัฐบาล” บริหารประเทศด้วยความรอบรู้ ก็ยากเอาการอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ “พ่อ” จึงต้อง “ออกหน้า” อย่างที่เห็น ฉะนั้นสังคมคงไม่ต้องถามว่า “นายกฯตัวจริง” คือใคร แต่คำถามต่อไป น่าจะเจ็บปวดใจกว่าว่าทำไม เราถึงเดินกันมาถึงจุดนี้ได้ต่างหาก ใครมาเป็นนายกฯ ก็ได้ อย่างนั้นหรือ ?! ...*...
ที่มา:พันแสง (23/12/67)