ในด้านการรักษาโรค ‘เวลา’ ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก หมายถึง ‘ชีวิต’ ของผู้ป่วย โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดสมอง (สโตรก) เวลาสำคัญที่สุด เพราะแต่ละนาทีตั้งแต่เริ่มมีอาการจนถึงมือแพทย์ ผู้ป่วยอาจสูญเสียเซลล์สมองหลายล้านเซลล์ เสี่ยงต่ออัมพาต พิการ หรืออาจเสียชีวิต หากรักษาล่าช้า

รศ.นพ.ยงชัย นิละนนท์ ประธานศูนย์โรคหลอดเลือดสมองศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สโตรกเป็นโรคที่สะสมมาจากการดำเนินชีวิต (Lifestyle) เช่น อาหาร น้ำหนักตัว ความเครียด การดื่ม การสูบ รวมถึง การมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน เป็นต้น เมื่อสะสมรวมกันมากอาจส่งผลให้เป็นสโตรกได้ในวันหนึ่ง โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ความดัน และภาวะอ้วน ต้องตรวจเช็กควบคุมให้เหมาะสมต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเกิดสโตรก

ปัจจุบัน ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ร้อยละ 20 หรือประชากรประมาณ 14 ล้านคน อายุ 60 ปีขึ้นไปมีโอกาสเกิดสโตรก ขณะที่สถิติของสโตรกถูกจัดเป็นโรคพบสูงสุด 3 อันดับแรกในปัจจุบัน โดยปี 2566 พบสโตรกเกิดใหม่ 350,000 คนทั่วประเทศ เฉลี่ยประมาณวันละ 100 คน ผลที่ตามมาคือ ร้อยละ 5 เสียชีวิต ณ วันกลับบ้าน ร้อยละ 75 มีความพิการเกิดขึ้น แต่สามารถกลับบ้านและพอไปทำงานได้ ส่วนร้อยละ 20 มีความพิการมาก หรือที่เรียกว่า สภาพผัก (vegetative state) แต่ที่พบเหมือนกันคือ ทุกคนที่เป็นสโตรกจะมีปัญหาความจำในระยะยาว (สมองเสื่อม)

รศ.นพ.ยงชัย กล่าวว่า ในภาพรวม ประเทศไทยมีปัญหาด้านการรักษาสโตรก 3 เรื่อง คือ 1.ขาดแพทย์เชี่ยวชาญด้านสมอง จากตัวเลขเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ประเทศไทยมีหมอสมองประมาณ 740 คน มี 450 คนอยู่ในกรุงเทพฯ จากข้อมูลนี้ ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลจะทำอย่างไร 2.ระบบปฏิบัติการ เช่น เมื่อมาถึงโรงพยาบาลต้องรีบเร่งรักษาต่าง ๆ (เปิดหลอดเลือด) แต่ระหว่างมาถึงโรงพยาบาลใช้เวลามาก จากการเก็บข้อมูลตลอด 10 ปี พบว่า กว่าผู้ป่วยจะมาเหยียบหน้าประตูโรงพยาบาล สูญเสียเวลาไป 100-120 นาที ขณะที่แพทย์พยายามลดเวลาการรักษาเริ่มตั้งแต่ผู้ป่วยเหยียบหน้าประตูโรงพยาบาลจนถึงการให้ยาเปิดหลอดเลือดจาก 90 นาที เหลือ 30 นาที เชื่อว่ากระบวนการนี้ทุกโรงพยาบาลทำเหมือนกันทั้งหมด แต่การควบคุมเวลานอกโรงพยาบาลทำได้ยาก 3.การส่งต่อ มีคำกล่าวว่า จะรักษาสโตรกให้ดีต้องโชคดีและวีไอพี ฟังแล้วสะท้อนใจ ประเทศไทยมี 70 ล้านคน จะมีโชคดีและวีไอพีกี่คน โดย 3 เรื่องนี้คือปัญหาหลักที่ต้องแก้ไข

“แต่ละ 1 นาทีที่ผ่านไป เซลล์สมองตายไปประมาณ 1.9-2 ล้านตัว และสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ความสำคัญของเวลา เราต้องการรักษาให้เร็วที่สุด ถ้าท่านรักษาใน 10 นาทีแรก ได้ผลดีกว่ารักษาที่ 270 นาทีแน่นอน เช่น เราเสียเวลานอกโรงพยาบาลไป 120 นาที หากเราลดเวลาลงเหลือ 60 นาที จะช่วยเซฟเซลล์ประสาทผู้ป่วยได้มาก ดังนั้น หากมีการส่งต่อผู้ป่วยจากภายนอกถึงโรงพยาบาลอย่างราบรื่นและทันสมัย เราจะไม่ต้องใช้คำว่าโชคดีและวีไอพีอีกต่อไป”

จากปัญหาดังกล่าว ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ ซีเมนส์ เฮลท์ธิเนียร์ส และบริษัท อาร์เอ็มเอ ออโตโมทีฟ จำกัด เพื่อพัฒนารถโมบายยูนิตรักษาอัมพาตเคลื่อนที่ รุ่น MSU-8 เพื่อการรักษาและส่งต่อผู้ป่วยถึงโรงพยาบาลอย่างราบรื่นโดยเร็วที่สุด เนื่องจากภายในรถ ประกอบด้วย รถพยาบาล เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT Scanner) และทีมปฏิบัติการทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งสามารถสแกนศีรษะผู้ป่วยบนรถ ณ จุดนัดหมายที่กำหนด พร้อมเชื่อมต่อกับระบบปรึกษาทางไกล (Teleconsultation) เพื่อให้ทีมแพทย์และบุคลากรที่โรงพยาบาลตัดสินใจด้านการรักษาและให้ยาสลายลิ่มเลือดได้ทันท่วงที รวมถึงสามารถฉีดสารทึบรังสีบนรถในการประเมินหลอดเลือดสมอง ให้การวินิจฉัยและการรักษาเบื้องต้นที่แม่นยำ พร้อมให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาในลำดับถัดไปทันทีเมื่อถึงโรงพยาบาล ส่งผลให้ลดอัตราความพิการและการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันได้

รศ.นพ.ยงชัย กล่าวว่า ปัจจุบันมีรถดังกล่าว 8 คัน (ราคาคันละ 1 ล้าน USD) เดินทางไปให้ความรู้และฝึกสอนแล้วหลายจังหวัด เช่น กระบี่ ระนอง นครศรีธรรมราช โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว จ.น่าน และจะกระจายไป 21 แห่งทั่วประเทศ เชื่อว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้า โลกของการรักษาสโตรกจะเปลี่ยนไป ทำลายข้อจำกัดหรือปัญหาหลัก 3 ข้อข้างต้น (ล่าช้าในการพบแพทย์ ขาดแพทย์ ล่าช้าในการส่งต่อแพทย์) ยกตัวอย่าง เมื่อได้รับแจ้ง รถจะไปรับผู้ป่วยที่จุดนัดพบ คือปั้มน้ำมัน ปตท.ตามโครงการปั้มช่วยชีวิต ผู้ป่วยจะได้รับการสแกน รักษา และส่งต่อภายในรถต่อเนื่องในทันที เนื่องจากระหว่างรักษาบนรถ (ไม่เคลื่อนที่) จะมีการประเมินจากทีมแพทย์ที่เกี่ยวข้องจากโรงพยาบาลควบคู่ไปด้วย โดยใช้เทคโนโลยีภาพและเสียงทางไกล เพื่อประเมินว่าควรรักษาอย่างไรบ้าง รวมถึงควรส่งต่อโรงพยาบาลอื่นใดหรือไม่ กรณีต้องส่งต่อโรงพยาบาลอื่น จะมีการประสานขั้นตอนการรับตัวผู้ป่วยเพื่อเข้ารับการรักษาเตรียมไว้โดยหน่วยฉุกเฉินที่กำลังประเมินอาการจากทางไกลเช่นกัน ขณะเดียวกัน ก็มีหน่วยจากโรงพยาบาลต้นสังกัดเตรียมประสานขั้นตอนเข้ารับการรักษาไว้ล่วงหน้า เพื่อลดเวลาและขั้นตอนต่าง ๆ ให้เหลือน้อยที่สุด ราบรื่นที่สุด เมื่อผู้ป่วยไปถึงโรงพยาบาลสามารถรักษาต่อเนื่องได้ทันที โดยรถโมบายยูนิตดังกล่าวช่วยลดโอกาสพิการ เพิ่มโอกาสรักษาได้

รศ.นพ.ยงชัย กล่าวว่า 1 ใน 4 ของช่วงชีวิตคนมีโอกาสเกิดสโตรก แต่สามารถป้องกันได้ร้อยละ 90 โดยใช้มาตรการ 4 โรค 6 พฤติกรรม คือ 1.โรคเบาหวาน รักษาให้ดี 2.ความดัน ติดตามอย่างต่อเนื่อง 3.หัวใจเต้นผิดจังหวะ ต้องตรวจประจำปี 4.ไขมันในเลือดสูง โดยคนอายุ 30-40 ปี ควรตรวจร่างกายเพื่อป้องกันรักษาโรคดังกล่าว ส่วน 6 พฤติกรรม คือ 1.อย่าอ้วน-น้ำหนักเกิน เป็นปัญหาเงียบของโรคต่าง ๆ สะสมนำไปสู่สโตรก 2.กินผักผลไม้มาก ๆ โดยเฉพาะผัก 3.ออกกำลังกาย ขยับตัว อย่างน้อย 3-4 วันต่อสัปดาห์ 4.ไม่สูบบุหรี่ 5.ไม่ดื่มเหล้า 6.อย่าเครียด อาศัยดนตรี กีฬา และศาสนาเข้าช่วย

“ทั้งหมดนี้ช่วยลดสโตรกลงได้ 90% ลดภาระของแพทย์และลดค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุขของประเทศ เพราะสโตรกไม่ใช่ความพิการ สมองเสื่อมอย่างเดียว หากนำมาซึ่งแผลกดทับ ติดเชื้อ ปอดอักเสบ มีค่าใช้จ่ายเดือนละหลายหมื่น นี่คือปัญหาของประเทศที่พวกเราต้องช่วยกันดูแลตัวเองไปจนวันสุดท้ายของชีวิต อย่าหลงไปกับความเอร็ดอร่อยทำให้สุขภาพแย่ลง” รศ.นพ.ยงชัย กล่าว