คู่แข่งนอกสายตานายกก้อย “พนธ์ มรุชพงษ์สาธร” ขอเปิดตัววัดดีกรีเป็นว่าที่นายก อบจ.ฉะเชิงเทราคนใหม่ ด้วยนโยบายสร้างฝันดันเมืองแปดริ้วให้เป็นศูนย์กลางแห่งการท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมพัฒนาความเจริญภาคการเดินทางขนส่ง เชื่อมต่อกับเมืองหลวง “คอนเนคแบงค์คอก” มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาที่ถูกปล่อยทิ้ง เรื่องคาราคาซังที่ถูกหมักหมมมานานให้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของบุตรหลานชาวฉะเชิงเทรา
วันที่ 21 ธ.ค.67 เวลา 15.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า นายพนธ์ มรุชพงษ์สาธร อายุ 53 ปี อยู่บ้าน ถ.มหาจักรพรรดิ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ในฐานะว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง นายกฯ อบจ.ฉะเชิงเทรา มานานถึงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมาว่า ตนเองพร้อมที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.ฉะเชิงเทรา เหตุเพราะเคยทำงานการเมืองในเบื้องหลังมานานนับสิบปีแล้ว
ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งสำคัญที่คาดว่าน่าจะเป็นครั้งประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ เนื่องจากตนเองเป็นนักธุรกิจใน จ.ฉะเชิงเทรา เกี่ยวกับการนำเข้ารถพลังงานไฟฟ้าจากประเทศจีน ซึ่งทำมานานแล้วกว่า 20 ปี และถือเป็นเจ้าแรกในไทย ตั้งแต่ช่วงที่ยังไม่มีบริษัทขนาดใหญ่ในจีนเข้ามาเปิดจำหน่ายในประเทศไทย จนได้รับเชิญจากประธานการจัดงานบางกอกมอเตอร์โชว์ให้ไปจัดแสดงสินค้าในพื้นที่การจัดงานฟรีในยุคนั้น จึงถือเป็นต้นกำเนิดของรถพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่ถูกนำมาใช้ในประเทศไทย ก่อนที่ผู้จำหน่ายรายใหญ่จากประเทศจีนจะเข้ามาคุมตลาดในปัจจุบัน
ภายหลังธุรกิจอยู่ตัวและวางงานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จึงเป็นจังหวะที่ดีในการก้าวเข้ามาทำงานทางการเมือง เป็นว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายก อบจ.ฉะเชิงเทรา และได้เปิดตัวเป็นว่าที่ผู้สมัครมานานนับเดือนแล้ว ทั้งผ่านทางสื่อเฟซบุ๊กและสื่อโซเชียลมีเดียอื่นๆ ว่าเรานั้นมีแนวทางและการแก้ไขปัญหางานต่างๆ อย่างไรให้กับ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งได้มีการนำเสนอแนวคิดที่สะสมมานานออกสู่สังคมในทุกๆ วัน
สำหรับแนวคิดที่ทำให้อยากจะลงสมัครเป็นนายก อบจ.นั้นเพราะ “สำนึกรักในบ้านเกิด” และยึดถือมาเป็นอุดมการณ์ ในขณะที่น้องชายของตนเอง นั้นคือ นายธวัชพงศ์ มรุชพงษ์สาธร หรือ สท.รักษ์ ก็ยังได้เป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรามาก่อนหน้าในสมัยล่าสุดนี้ ที่ได้ทำงานการเมืองร่วมกันพร้อมกับเพื่อนในกลุ่ม เพราะถือว่าเราเกิดที่ จ.ฉะเชิงเทรา เรามีหน้าที่พัฒนาจังหวัดนำความรู้ความสามารถมาช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องคนในจังหวัดเดียวกัน ให้จังหวัดโดดเด่น เป็นหน้าตาทัดเทียมกับจังหวัดอื่นๆได้
ขณะที่การลงสมัครรับเลือกตั้งกับคู่แข่งที่มีบ้านใหญ่หลายหลังรวมตัวกันเข้ามาสนับสนุนให้ “นายกลยุทธ ฉายแสง” หรือนายกก้อย อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา ที่เพิ่งลาออกมาเป็นว่าที่นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา จำนวนมากทั้งจังหวัดนั้น ไม่ได้หนักใจอะไรแต่อาจจะสู้ไม่ได้หรือสู้ได้นั้นก็จะเป็นอีกประเด็น แต่เมื่อได้ลงสมัครไปแล้วนั้น ทำให้เราได้มีโอกาสมานำเสนอแผนงานต่างๆ ที่จะทำให้ จ.ฉะเชิงเทรา ได้พัฒนาก้าวไปโดยใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและดีที่สุด
ทั้งการบริหารจัดการ การสร้างงานต่างๆ สร้างเงินสะพัดในพื้นที่ หรือการดูแลทุกข์สุขของประชาชน นับตั้งแต่เด็กผู้ใหญ่จนถึงผู้สูงอายุ ล้วนมีโครงการที่เตรียมเอาไว้ทั้งหมดแล้ว และเป็นโครงการที่เป็นจริงได้ไม่ใช่แค่การเพ้อฝัน ส่วนสาเหตุที่ลาออกมาจากการเป็นเลขานุการนายก อบจ.เมื่อช่วงก่อนหน้า ที่เคยเข้าไปดำรงตำแหน่งมาประมาณ 1 ปีนั้น เพราะตนไม่สามารถที่จะแสดงศักยภาพทั้งด้านความคิดความรู้ได้เลย เมื่อเข้าไปทำหน้าที่แล้วยังไม่สามารถที่จะใช้ความรู้ความสามารถ ตลอดจนแผนการต่างๆ ที่จะทำออกมาช่วยเหลือประชาชนได้ เช่น โครงการต่างๆ ที่วางแผนไว้ทั้งถนนคนเดิน ถนนข้าวสวยในเทศกาลสงกรานต์ที่จะต้องจัดให้ยิ่งใหญ่เทียมเท่ากับถนนข้าวเหนียวใน จ.ขอนแก่นได้
ตลอดจนสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกงในเขตเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรานั้น เดิมมีอยู่เพียงแค่ 1 สะพาน และสร้างมานานกว่า 20 ปีแล้ว จึงมีโอกาสที่จะปิดซ่อม ถ้าเรายังไม่เริ่มอีกโครงการให้มีอีก 1 สะพานในเขตเทศบาลเมือง การสัญจรและปัญหาทางเศรษฐกิจย่อมเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน นี่คือประเด็นหลักที่อยากจะเข้าไปผลักดันให้เกิดสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกงในเขตเทศบาลเมืองแห่งที่ 2 หรือ 3 ให้เกิดขึ้นให้จงได้ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีแล้ว โอกาสเปิดแล้วที่วาระของสภาใหญ่ จ.ฉะเชิงเทรา หมดลง
จนถึงเวลาแล้วที่จะต้องเลือกตั้งคณะผู้บริหารชุดใหม่ “ตนจึงมีความพร้อมแล้ว ที่จะเข้าไปดำเนินการตามนโยบายต่างๆ เพื่อประชาชนในเขตพื้นที่ นับตั้งแต่เด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย วัยรุ่น วัยชราเรามีนโยบายครบทุกด้านที่สามารถทำได้จริง และทำได้เร็ว ทำได้เลย โอกาสแบบนี้จึงขอเรียกร้องให้ทุกคนออกมารวมพลังสร้างเมืองฉะเชิงเทราให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดทัดเทียมกับจังหวัดอื่นๆ และส่งต่อเมืองที่ดีนี้ให้ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานของเราต่อไป”
สุดท้ายนี้จึงอยากจะขอฝากถึงแนวคิด “คอนเนคแบงค์คอก” ซึ่งเป็นแนวคิดของตนเองมานานแล้ว ที่ จ.ฉะเชิงเทรา นั้นอยู่ติดกับยังหวัดในกลุ่มภาคตะวันออกถึง 8 จังหวัดและอยู่ติดกับเมืองหลวงหรือกรุงเทพฯ มากที่สุด แต่เวลาเราเดินทางเข้าออกไปกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์ส่วนตัวกลับยากที่สุด ทั้งทางด้านสุวินทวงศ์ และบางนา-ตราด มอเตอร์เวย์ และหากเป็นการเดินทางด้วยรถสาธารณะกลับมีน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย การเข้าออกจึงถือว่าไม่สะดวก
โดยโครงการคอนเนคแบงค์คอก จะผลักดันรถไฟรางคู่ด้วยการนำรถไฟดีเซลรางมาวิ่งระหว่างสถานีฉะเชิงเทรากับสถานีรถไฟฟ้าลาดกระบัง ที่จะมีการออกขบวนในทุกๆ 30 นาทีเริ่มต้นในเวลา 05.00 น.หมดขบวนสุดท้าย 22.30 น. จะทำให้เด็กนักเรียนที่จะไปเรียนใน กทม.ไปกลับได้โดยง่ายปลอดภัยและราคาถูก ส่วนคนที่จะไปทำงานนั้นไม่ต้องไปเช่าห้องใน กทม. เพราะสามารถไปกลับได้ ทำให้มีเวลาดูแลคนในครอบครัวทั้งมารดา หรือปู่ ย่าหากเจ็บป่วย เพราะสามารถไปกลับได้โดยง่ายในราคาค่าโดยสารที่ถูกและยุติธรรม
ส่วนการคอนเนคแบงค์คอกด้วยรถโดยสารไปทางด้านมอเตอร์ หรือสถานีรถไฟฟ้ารามคำแหง สถานีมีนบุรี หรือสถานีลำลูกกา เราจะทำการคอนเนคทั้งหมด นี่คือ “คอนเนคแบงค์คอก” ที่จะทำให้เมืองแปดริ้วเจริญเติบโตขึ้นมีคนเข้ามาอยู่มากขึ้น ไปทำงานง่ายขึ้นไปเรียนง่ายขึ้น สามารถที่จะทำงานต่อโอทีได้ นักเรียนสามารถร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนได้ เพราะไปกลับได้โดยสะดวกสะบาย นี่คือเมืองแห่งความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ นายพนธ์ ระบุถึงแนวทางการพัฒนาเมืองฉะเชิงเทราในอนาคต หากได้รับการเลือกตั้งให้เป็นนายก อบจ.คนต่อไป
สำหรับประวัติการศึกษาของนายพนธ์ มรุชพงษ์สาธร นั้นจบปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยบูรพา จบปริญญาโท จาก มรภ.ราชนครินทร์ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม เคยได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นปี 2560 จาก สนง.นวัตกรรมแห่งชาติ เคยได้รับรางวัลรองชนะเลิศวิศวกรรมไฟฟ้า จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง