ภาคใต้ฝนเริ่มซาแล้ว...บิ๊กอ้วน สั่ง ศปช. ส่วนหน้าตรึงกำลังต่อเนื่อง ช่วยเหลือ จ.นครศรีฯ - สุราษฎร์ฯ จนกว่าจะคลี่คลายทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เวลา 14.30 น. นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศปช. ได้สั่งการให้ ศปช. ส่วนหน้า ส่งเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ 24 ชม. แม้ว่าฝนภาคใต้จะเริ่มเบาบางลงแล้ว แต่ยังเกิดขึ้นได้ในภาคใต้ตอนล่าง จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส

 

“ผอ.ศปช. ได้เน้นย้ำ ศปช. ส่วนหน้าดูแลประชาชนอย่างเต็มกำลังที่สุด โดยส่งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ แพทย์ พยาบาล และพลเรือน เข้าระดมสรรพกำลังช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำตามจุดต่าง ๆ ดูแลผู้พักอาศัยอยู่ศูนย์พักพิง แจกจ่ายอาหารน้ำดื่ม และถุงยังชีพ สนับสนุนเครื่องจักรกล ฯลฯ

 

ส่วนพื้นที่ที่ระดับน้ำลดลงแล้ว ได้เร่งทำความสะอาดบ้านเรือน เส้นทางคมนาคม พื้นที่สาธารณะ รวมทั้งอำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ จนกว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ”

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณการก่อตัวของหย่อมความอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณเกาะบอร์เนียว ช่วงวันที่ 22 ธ.ค. 67 แต่แนวโน้มหรือโอกาสความน่าจะเป็นที่จะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุหมุนเขตร้อนยังไม่ถึง 60% ซึ่งยังต้องเฝ้าติดตามเป็นระยะ

 

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า แม้ภาคใต้ฝนจะเริ่มลดลงบ้างแล้ว แต่จากข้อมูลของกรมทรัพยากรธรณี ประชาชนจึงต้องติดตามเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงดินถล่มใน 4 จังหวัดอยู่

 

“ปริมาณฝนที่ตกมากในช่วงก่อนหน้า ทำให้ประชาชนยังต้องเฝ้าระวังดินถล่ม ระหว่างวันที่ 19 - 21 ธ.ค. นี้ ที่ จ.ตรัง อ.ย่านตาขาว อ.นาโยง, จ.นครศรีธรรมราช อ.จุฬาภรณ์ อ.ชะอวด อ.ช้างกลาง อ.ทุ่งสง อ.ร่อนพิบูลย์ อ.ลานสกา อ.หัวไทร, จ.พัทลุง อ.กงหรา อ.เขาชัยสน อ.ควนขนุน อ.บางแก้ว อ.ปากพยูน อ.ศรีนครินทร์ อ.ศรีบรรพต, จ.สงขลา อ.เมืองสงขลา อ.สทิงพระ”

 

“ส่วนการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือจำนวน 9,000 บาท ตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ถึงมือประชาชนโดยเร็วนั้น ความคืบหน้าล่าสุด (18 ธ.ค. 67) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสินแล้ว 48 ครั้ง โดยธนาคารออมสินโอนเงินสำเร็จผ่านพร้อมเพย์ 46 ครั้ง จำนวน 301,251 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 2,711,313,000 บาท” รองโฆษกฯ กล่าว