ตร.ภ.7 แถลงรวบคนร้าย หลอกหนุ่มเปิดบัญชีม้า หลอกข่มขืนเมีย โดยตำรวจเร่งรัดขยายผลจากคดีข่มขืนไปสู่การสะสางขบวนการค้าบุรุษข้ามชาติ
รองผู้จัดการตำรวจภูธรภาค 7 แถลงผลการจับกุมคนร้ายก่อเหตุข่มขืนกระทำชำเราหญิง ในพื้นที่กำแพงแสน ซึ่งสืบสวนเรื่องราวพบว่าเหตุเกิดจากสามีถูกแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ หลอกให้ไปทำงานต่โดยให้เปิดบัญชีม้า และนำตัวไปส่ง ข้ามแดนโดยการลักลอบเข้าทางเส้นทางธรรมชาติ จากนั้นทั้งสองคนติดต่อกันไม่ได้ ฝ่ายหญิงจึงได้ติดต่อกลับไปหาคนร้ายแต่ถูกล่อลวงไปข่มขืน โดยอ้างว่าหากไม่ยอมสามีจะไม่ได้รับการปล่อยตัวกลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งหลังจากสามีทำหน้าที่โอนเงินผ่านบัญชีกว่า 60 ครั้ง เมื่อหมดประโยชน์แก๊งค์ดังกล่าวได้ขับรถนำกลับมาส่งไว้ที่อำเภอกำแพงแสน เมื่อทั้งคู่มาพบกันจึงทราบว่าภรรยาถูกข่มขืน สามีถูกหลอกไปทำงานแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ และร้องไปยังเพจสายไหมต้องรอด ก่อนที่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 สั่งเร่งรัดคดีและจับกุมคนร้าย ได้หนึ่งรายเป็นเหตุข่มขืน และขยายผลสืบสาวไปพบเป็นขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ ซึ่งจะมีการขยายผลทะลายแก๊งดังกล่าวต่อไป
วันที่ 18 ธันวาคม 67 ที่ห้องโถง ชั้น 1 อาคารตำรวจภูธรภาค 7 อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม พล.ต.ต.อุทัย กวินเดชาธร รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 รับมอบหมายจาก พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 แถลงข่าวผลการจับกุมคนร้าย คดีข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นฯ, ทำร้ายผู้อื่นฯ ในเขตพื้นที่ สภ.กำแพงแสน โดยมีการขยายผลเป็นคดีการค้ามนุษย์ ซึ่งผู้เสียหายได้ประสานร้องขอความช่วยเหลือไปยังเพจสายไหมต้องรอด โดยมี พ.ต.อ.พัลลภ สุริยกุล ณ อยุธยา รองผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.ปราโมทย์ โพธิ์พันธุ์ ผกก.สภ.กำแพงแสน ร่วมในการแถลงข่าวพร้อมผู้เสียหายและเจ้าหน้าที่จากเพจสายไหมต้องรอด
โดย พล.ต.ต.อุทัย กวินเดชาธร รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เผยว่า การจับกุมดังกล่าว สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 17.20 น. น.ส.สมศรี (นามสมมุติ) อายุ 27 ปี ผู้เสียหาย ได้มาพบพนักงานสอบสวน สภ.กำแพงแสน เพื่อแจ้งว่า เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.67 เวลาประมาณ 17.00 น. มีชายไทย (ขอปกปิดนาม) ได้ออกอุบายหลอกล่อ ให้ไปพบที่หอพักแห่งหนึ่ง ห้องที่ 502 บ้านเลขที่ 56 ม.3 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เมื่อไปถึงแล้วได้พบกับ ผู้ต้องหาได้ทำการข่มขืนจนสำเร็จ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย จึงมาแจ้งความเพื่อดำเนินคดี
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กำแพงแสน ได้ทำการสืบสวนและทราบชื่อผู้ต้องหาและได้ทำการขออนุมัติหมายจับต่อ ศาลจังหวัดนครปฐม ที่ 1365/2567 ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ในความผิดฐาน “ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น,ทำร้ายผู้อื่น, จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น”
กระทั่งในวันที่ 17 ธันวาคม 2567 เวลาประมาณ 17.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.กำแพงแสน ได้จับกุมตัว ผู้ต้องหาดังกล่าวได้บริเวณริมถนนสาธารณะ ม.1 ต.ทุ่งกระพังโหม อ.กำแพงแสน จว.นครปฐม โดยพบว่ามีประวัติอาชญากรรม โชกโชน โดย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2551 ถูกจับกุมในพื้นที่ สภ.กำแพงแสน ข้อหา “ลักทรัพย์ผู้อื่น” วันที่ 7 ธันวาคม 2551 ถูกจับกุมในพื้นที่ สภ.กำแพงแสน ข้อหา “ยักยอกทรัพย์” วันที่ 10 ธันวาคม 2551 ถูกจับกุมในพื้นที่ สภ.กำแพงแสน ข้อหา “วิ่งราวทรัพย์” วันที่ 14 ธันวาคม 2551 ถูกจับกุมในพื้นที่ สภ.กำแพงแสน ข้อหา “ยักยอกทรัพย์” และเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2551 ถูกจับกุมในพื้นที่ สภ.กำแพงแสน ข้อหา “ชิงทรัพย์” โดยอยู่ในชั้นสอบสวน
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 กล่าวว่า ต่อมาได้มีนายเอ (นามสมมติ) อายุ 28 ปี ได้ไปร้องขอความช่วยเหลือ จากเพจสายไหมต้องรอด ว่าได้ถูกขบวนการแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ล่อลวงให้เปิดบัญชีและส่งตัวไปทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยได้มีการหาจุดเชื่อมโยงระหว่างผู้เสียหาย คือนางสาวสมศรี (นามสมมติ) อายุ 27 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของนายเอ (นามสมมติ) อายุ 28 ปี เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกันเพราะคนร้ายที่ข่มขืนนางสาวสมศรี เป็นคนที่ล่อลวงให้นายเอไปทำงานที่ต่างประเทศ โดยมีรถมารับที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และไป ส่งที่ปอยเปต ก่อนจะมีการส่งตัวข้ามแดนไป ลักษณะถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว โดยการยึดมือถือ และบัตรประชาชน ซึ่งหลังจากนั้นทั้งนายเอ และนางสาวสมศรี ก็ติดต่อกันไม่ได้ ทำให้ฝ่ายหญิงร้อนใจและไปสอบถามผู้ต้องหา ซึ่งผู้ต้องหาก็ได้ออกอุบายว่าให้ไปหาที่แมนชั่น และเฉลยว่านายเอได้ถูก ควบคุมตัว ให้ไปทำงานฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน หากไม่ยอมให้ถูกกระทำชำเราก็จะไม่สามารถพบสามีได้อีกเลย จากนั้นจึงได้ลงมือข่มขืนกระทำชำเราไป ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็เป็นเรื่องของคดีข่มขืน ส่วนคดีของนายเอสอบถามเพิ่มเติมทราบว่าเมื่อไปถึงปลายทางแก๊งค์คนร้ายได้ให้ทำหน้าที่คอยโอนเงินออกจากบัญชีม้าที่ตัวเองเปิดเอาไว้ ซึ่งมีคนพาไปเปิดเอาไว้สี่บัญชี และมีการถูกสแกนหน้าในการโอนเงินเข้า ประมาณ 60 ครั้ง ซึ่งได้สืบแล้วพบว่าเป็นเรื่องของการเชื่อมโยงกันและเข้าข่ายเป็นขบวนการค้ามนุษย์ โดยทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้สั่งการให้มีการสอบสวนหาเส้นทางทางการเงิน การติดต่อทางโทรศัพท์ และรถยนต์ที่มารับ พบว่าเป็นขบวนการเครือข่ายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเป็นการค้ามนุษย์ข้ามชาติ จึงได้มีการแกะรอย และย้อนกลับมาจับกลุ่ม ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุข่มขืนได้ และจากนี้จะมีการขยายผลจากคดีข่มขืนไปสู่คดีการค้ามนุษย์
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 กล่าวอีกว่า ลักษณะดังกล่าวของนายเอ (นามสมมติ) อายุ 28 ปี ได้ตกเป็นเหยื่อโดยการให้เปิดบัญชีม้าซึ่งต้องบอกว่าเป็นความเดือดร้อนที่เกิดกับตัวเองและญาติพี่น้องเนื่องจาก ในทางกฎหมายเปิดบัญชีม้าก็เป็นเหมือนกับผู้สนับสนุนขบวนการดังกล่าวโดยตรง ซึ่งการโอนบัญชีสแกนใบหน้ากว่า 60 ครั้ง ก็ถือเป็นการกระทำทีละกรรม เป็น 60 กรรม จึงขอให้ประชาชนได้ตระหนักว่าการหลอกลวงให้หลงกลไปเปิดบัญชีหรือหลอกว่าไปทำงานต่างประเทศแล้วได้เงินดี น่าจะเป็นช่องทางของกลุ่มคนร้ายซึ่งหากสงสัยควรปรึกษาญาติ หรือติดต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อหาแนวทางในการป้องกันและติดตามจับกุมคนร้ายต่อไป
ส่วนนายเอ (นามสมมติ) อายุ 28 ปี บอกว่า ตนเองรู้จักกับผู้ต้องหา เนื่องจากไปค้นหาการสมัครงานจาก Facebook และได้พบกับผู้ต้องหาโดยนัดหมายให้หารือตกลงเรื่องงานกันที่ โรงพยาบาลกำแพงแสน โดยคนร้ายได้บอกว่า งานที่จะไปทำเป็นงานที่ได้เงินดี มีที่อยู่ ซึ่งจะต้องมีการข้ามแดนไปทำงานที่ต่างประเทศ จากนั้นได้ มีคนพาไปเปิดบัญชี เอาไว้ สี่บัญชีก่อนเดินทาง เมื่อไปถึงก็ถูกให้เดินทางออกโดยช่องทางธรรมชาติ และเมื่อข้ามแดนไปแล้ว ได้มีรถมารับไปถึงปลายทาง ซึ่งเมื่อไปถึงทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้
"พอผมไปถึง ที่ประเทศเพื่อนบ้านแก๊งค์คนร้ายก็ได้ทำการยึดโทรศัพท์มือถือ ยึดบัตรประชาชน โดยให้ผมทำหน้าที่โอนเงินกลับมาให้ ซึ่งตอนแรกบอกว่าให้มาทำหน้าที่เป็นแอดมิน แต่การทำงานกับกายเป็นการโอนเงินออกจากบัญชีของตนเอง ซึ่งจะได้ค่าตอบแทนครั้งละประมาณ 3.1-3.5 หมื่นบาท โดยเมื่อทำหน้าที่ครบแล้ว ก็ได้ถูกเอาตัวกลับมาส่งทิ้งไว้ที่อำเภอกำแพงแสน เมื่อกลับมาได้และพบ นางสาวสมศรี ภรรยา จึงทราบเรื่องว่าตนเองก็ถูกหลอก ภรรยาก็ถูกข่มขืน จึงได้ไปร้องสายไหมต้องรอด เพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือ โดยขอเตือนไว้ว่าเรื่องนี้ตนเองโดนหลอกและไม่คิดว่าจะผิดกฎหมายและอย่าให้ประชาชนทั่วไปหวังกับสิ่งล่อใจซึ่งจะทำให้ตนเองและครอบครัวเดือดร้อนได้" นายเอ (นามสมมติ) กล่าวปิดท้าย