ร่วมสร้างเยาวชนเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ เติมเต็มฐานรากความรู้เพื่อความมั่นคงในชีวิต

สำนักงาน กปร. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมากจาพระราชดำริ ประชาชน สถานศึกษา ชุมชน หน่วยงานภาครัฐ ผนึกความรู้ตามแนวพระราชดำริ สู่รั้วโรงเรียนเป้าหมายสร้างรากฐานความรู้แก่เยาวชน ผู้คนทั่วไป มีภูมิคุ้มกันในการดำรงชีวิต ประกอบอาชีพ อย่างมั่นคง ประสบความสำเร็จน้อมนำพระราชดำริมาปฏิบัติใช้ จนเป็นศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ มากถึง 80 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือ

นางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีมอบโล่พร้อมเกียรติบัตรให้แก่ศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ประจำปี 2567 ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ ฯ จังหวัดเชียงใหม่ และได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ที่ได้รับโล่และเกียรติบัตรดังกล่าว เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาว่า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระราชดำริให้จัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากมีลักษณะพื้นที่เป็นภูเขาและป่าไม้อยู่ในสภาพเสื่อมโทรมไม่มีต้นไม้ใหญ่ โดยมีพระราชดำริให้สร้างอ่างเก็บน้ำควบคู่กับการฟื้นฟูป่าด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก การปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง การสร้างฝายชะลอความชุ่มชื้น ตลอดจนการศึกษาทดลองการประกอบอาชีพ ภายใต้แนวคิด “ต้นทางคือป่าไม้ ปลายทางคือประมง ระหว่างทางคือเกษตรกรรม” ซึ่งประสบความสําเร็จเป็นอย่างดียิ่ง กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิตที่ประชาชนทั่วไปได้มาเรียนรู้ ฝึกอบรมอาชีพต่าง ๆ จนสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคง ที่สำคัญเกิดเป็นความรักและหวงแหนในสิ่งแวดล้อม ด้วยเห็นคุณค่าของป่าที่สมบูรณ์จะช่วยให้การเพาะปลูกประสบความสำเร็จ ตลอดจนช่วยกันดูแลรักษาป่าไม้ ไม่บุกรุกป่า เฝ้าระวังไม่ให้เกิดไฟป่าที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม

“ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ  มีศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ มากถึง 80 แห่ง ทั้งภาคประชาชนทั่วไป ภาครัฐ  โรงเรียน และชุมชน เป็นศูนย์เรียนรู้ที่มีศักยภาพในการถ่ายทอดองค์ความรู้จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ ผ่านขั้นตอนการปฏิบัติที่ผู้สนใจสามารถนำไปทำได้ทันที จากการเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ของนางศิรินันท์ โซเมอร์แดค เกษตรกรศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ ด้านเกษตรผสมผสาน พบว่าเป็นศูนย์เรียนรู้ที่มีความเข้มแข็ง มีการรวบรวมองค์ความรู้ที่ผ่านการปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน ทำให้ผู้เข้ามาเรียนรู้สามารถนำไปต่อยอดได้ทันที ชุมชนในพื้นที่มีความรักและหวงแหนพื้นที่ของตัวเอง และนําแนวพระราชดําริมาใช้กันทุกครัวเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลป่าชุมชน เพราะภาคเหนือจะเกิดไฟป่าทุกปี มีการช่วยกันทำแนวป้องกันไฟป่า เก็บใบไม้มาทำปุ๋ยหมักมาใช้ในแปลงเกษตร เหลือใช้ก็นำไปขายสร้างรายได้และยังช่วยลดเชื้อเพลิงที่จะทำให้เกิดไฟป่า  นอกจากนี้ยังได้คาร์บอนเครดิตในการลดก๊าซเรือนกระจก สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีและลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย ส่วนที่โรงเรียนแม่โป่งประชาสามัคคี ได้น้อมนำแนวพระราชดำริ และความรู้ที่ได้จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ มาปรับใช้ ในกิจกรรมโครงงานอาชีพเปลี่ยนขยะเป็นเงินทุน ตอนนี้โรงเรียนได้เป็นศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริที่มีความโดดเด่น มีผู้คนเดินทางเข้ามาศึกษาดูงานอย่างต่อเนื่อง” นางสุพร ตรีนรินทร์ กล่าว

ขณะที่นายสมปอง มงค์คลสำโรง ผู้อํานวยการโรงเรียนแม่โป่งประชาสามัคคี จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในสถานศึกษาที่ได้รับการยกระดับขึ้นเป็นศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ เปิดเผยว่า โรงเรียนได้น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อสร้างพื้นฐานความรู้การใช้ชีวิตในอนาคตควบคู่กับความรู้ทางการศึกษาพื้นฐานให้กับเยาวชนในโรงเรียน “เด็ก ๆ ได้รู้ถึงประโยชน์และคุณค่าด้านต่าง ๆ ของปุ๋ยหมัก ที่นำใบไม้จากบริเวณโรงเรียนมาผลิต โดยมีคณะครูของชุมชนซึ่งเป็นปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านการเกษตรมาสอนและนำฝึกปฏิบัติ  ผ่านการสนับสนุนปัจจัยการผลิตจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ โดยกิจกรรมนี้เริ่มดำเนินการมาประมาณ 4 ปีแล้ว ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี นอกจากนักเรียนได้รับความรู้แล้วโรงเรียนก็มีปุ๋ยอินทรีย์มาใส่ต้นไม้และแปลงสาธิตการเกษตรสำหรับนักเรียน ใบไม้บางส่วนเด็กนักเรียนนำมาทำเป็นของที่ระลึกจำหน่ายสร้างรายได้ระหว่างเรียน ส่วนปุ๋ยหมักที่เหลือจากการใช้จะนำมาใส่ถุงจำหน่ายถุงละ 20 บาท โดยร่วมกับวิสาหกิจชุมชน และชุมชนรอบโรงเรียน เด็กนักเรียนได้รับความรู้ที่สามารถนำไปต่อยอดการประกอบอาชีพของตนเองในอนาคตได้” นายสมปอง มงค์คลสำโรง กล่าว

ด้านนางศิรินันท์ โซเมอร์แดค เกษตรกรศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ ด้านเกษตรผสมผสาน จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่าได้เข้าไปดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ เกี่ยวกับแนวทางการดูแลรักษาป่า โดยเฉพาะป่าชุมชนให้มีความสมบูรณ์เพื่อชุมชนจะได้ใช้ประโยชน์จากป่า ตั้งแต่ความชื้นจากป่าเพื่อการเพาะปลูกที่เหมาะสมจนถึงการเก็บของป่ามาบริโภค และวิธีการป้องกันและช่วยลดปัญหาไฟป่า พร้อมฝึกอบรมอาชีพ อาทิ การทําปุ๋ยหมักแบบกลับกอง และแบบไม่กลับกอง ซึ่งได้ทดลองทำในพื้นที่ของตนเอง โดยปุ๋ยที่ได้นำไปใส่แปลงปลูกพืชผัก เช่น ผักเชียงดา ผักสวนครัวตามฤดูกาล และไม้ผล นอกจากนี้ได้ร่วมกับชุมชนทําฝายชะลอน้ำ ปลูกป่าเสริมในพื้นที่ว่างด้วยการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ทำให้สามารถลดจุดความร้อน (Hotspot) และค่าฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี และตลอด 5 ปีที่ผ่านมาพื้นที่แห่งนี้ไม่ปรากฏจุด  Hotspot อีกเลย

“ที่ศูนย์เรียนรู้จะเน้นแนวพระราชดำริเกี่ยวกับการพึ่งพาตนเอง เหลือแจกจ่ายก่อนนำไปขาย ตอนนี้มีรายได้หมื่นกว่าบาทต่อเดือน ซึ่งก็อยู่ได้อย่างมีความสุข และการดูแลรักษาป่าให้สมบูรณ์ทำให้เกิดผลพลอยได้ของชุมชน นอกจากได้อากาศที่ดี ยังมีรายได้จากคาร์บอนเครดิต เมื่อนับรวมกันทั้งตําบลแม่โป่ง คิดเป็นเงินก็ประมาณ 5,900,000 บาทต่อปี จากความอุดมสมบูรณ์ที่ได้รับทุกวันนี้ เป็นผลมาจากการน้อมนำแนวพระราชดำริมาปฏิบัติ รู้สึกปลาบปลื้มใจที่สุดในชีวิต อยากกราบขอบพระคุณในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ทำให้ทุกคนมีกินมีใช้ และพร้อมเดินตามรอยพระองค์ท่าน ปฏิบัติตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และจะปลูกฝังแนวพระราชดำริแก่เยาวชนรุ่นต่อ ๆ ไป” นางศิรินันท์ โซเมอร์แดค กล่าว

สำหรับศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริที่ได้รับองค์ความรู้จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ จังหวัดเชียงใหม่ สามารถนำไปประกอบอาชีพจนเกิดผลสำเร็จ มีความพร้อมในการถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ให้แก่ประชาชนทั่วไปที่เข้ามาศึกษาเรียนรู้ โดยมีศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริที่เข้ารับโล่เชิดชูเกียรติในครั้งนี้ จำนวน 80 แห่ง แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ประกอบด้วย  1.ประชาชนทั่วไป จำนวน 43 แห่ง  2. ภาครัฐ จำนวน 7 แห่ง  3. สถานศึกษา จำนวน 27 แห่ง และ  4. ชุมชน จำนวน 3 แห่ง