หมู่บ้านเครื่องดนตรีอีสาน ทำพิณ แคน โหวต โอดเดือดร้อน ถูกเรียกเก็บ ภาษีนำเข้าไม้ทำแคน จากลาว แพงกว่าสินค้า ประมาณตันละ 15,000 – 20,000 บาท แบกภาระต้นทุนสูง วอนรัฐบาล ช่วยเหลือผันผันภาษี หนุนเป็นซอฟพาวเวอร์ เผยสร้างรายได้ในพื้นที่ปีละกว่า 10 ล้านบาท หากแก้ปัญหาภาษีแพง จะเพิ่มรายได้ชุมชนมากขึ้น เร่งหาทางผลิตปลูกไม้คู่แคน ในประเทศ แต่ไม่สำเร็จ จากปัญหาภูมิประเทศ ไม่เอื้อ ด้าน แกนนำครอบครัวเพื่อไทย เร่งเสนอรัฐบาลช่วยเหลือลดหย่อนภาษี ผลักดันเป็นซอฟพาวเวอร์

วันที่ 14 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม ยังเป็นปัญหาสำคัญของหมู่บ้านเครื่องดนตรี อีสาน หนึ่งเดียวในไทย คือ บ้านท่าเรือ ต.ท่าเรือ อ.นาหว้า จ.นครพนม หมู่บ้านแหล่งผลิต พิณ แคน โหวต สืบทอดมาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน มานานกว่า 50 ปี ถึงแม้จะสร้างรายได้ ให้กับชุมชนเงินหมุนเวียนสะพัดปีละหลาย 10 ล้านบาท แต่ยังมีปัญหาเรื่องวัตถุดิบ ไม้คู่แคน หรือไม้ไผ่ลำแคน ยังคงต้องนำเข้าจาก สปป.ลาว เนื่องจากเป็นพืชประจำถิ่น ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ ในพื้นที่ หุบเขา แขวงคำม่วน สปป.ลาว โดยมีขนาดเหมาะสำหรับการมาทำแคน เครื่องดนตรีอีสานพื้นบ้าน ทั้งนี้ ทางชาวบ้านชาวบ้านพยายาม นำพันธุ์ไม้คู่แคน หรือไม้ไผ่ลำแคน มาปลูกในพื้นที่ จ.นครพนม ทดลองปลูกมานานเกือบ 20 ปี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถนำมาทำแคนได้ เนื่องจากไม่มีความเหมาะสม ทั้งขนาด และคุณภาพของลำไม้ไผ่คู่แคน เนื่องจากสภาพอากาศ และพื้นที่ปลูกไม่เอื้ออำนวย จำเป็นต้องสั่งซื้อนำเข้าจาก สปป.ลาว มีราคาสูงตันละ 15,000 – 20,000 บาท

 

ในปัจจุบัน ไม่เพียงปัญหาการนำเข้าไม้คู่แคน ที่มีราคาสูง ชาวบ้านแหล่งผลิต เครื่องดนตรีอีสาน ยังต้องแบกภาระ การนำเข้าภาษีแพง พอกับค่าไม้ลำแคน เนื่องจากมีหน่วยงานภาครัฐเกี่ยวข้อง เรียกเก็บภาษีนำเข้าไม้คู่แคน ตันละประมาณ 15,000 – 20,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายราคาไม้คู่แคน ตันละ 30,000 – 40,000 บาท ต้องแบกภาระต้นทุนสูง ชาวบ้านจึงต้องการเรียกร้องให้รัฐบาล วางแนวทางช่วยเหลือผันผันภาษีนำเข้า และผลักดันเป็น สินค้าซอฟต์พาวเวอร์กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้ชุมชน   

ด้าน นายเกษชัย มิ่งวงศ์ธรรม อายุ 66 ปี ปราชญ์ชาวบ้าน ท่าเรือ ต.ท่าเรือ อ.นาหว้า จ.นครพนม ตัวแทนชาวบ้านกลุ่มผลิตเครื่องดนตรีอีสาน เปิดเผยว่า บ้านท่าเรือ ต.ท่าเรือ อ.นาหว้า จ.นครพนม ถือว่าเป็นหนึ่งเดียวในไทย สืบสานอาชีพ ทำเครื่องดนตรีอีสาน พิณ แคนโหวต มานาน กว่า 50 ปี  มีเงินหมุนเวียนสะพัด ปีละหลาย 10 ล้านบาท บางครอบครัวมีรายได้เดือนละครึ่งแสน โดยเฉพาะแคน ถือเป็นหมู่บ้านแห่งเดียวที่ทำแคน เสียงไพเราะ เป็นที่ต้องการของนักดนตรีอีสาน หมอลำคณะใหญ่ มีราคาตั้งแต่ 1,000 – 5,000 บาท ราคาจะขึ้นอยู่กับคุณภาพความชำนาญในการผลิต สำคัญที่สุดคือลิ้นแคน เพราะเป็นที่มาของเสียงในเต้าแคน มีลิ้นเงินแพงสุด และรองลงมาคือลิ้นทองแดง นอกจากผลิตเครื่องดนตรีอีสาน ยังมีการประดิษฐ์ แคนจิ๋ว โหวตจิ๋ว ทำพวงกุญแจ ถือว่าสร้างรายได้เป็นอย่างดี ยิ่งปัจจุบัน มีช่องทางการตลาดขายทางออนไลน์ ยิ่งสร้างรายได้เพิ่ม

ส่วนปัญหาสำคัญของหมู่บ้านดนตรีอีสานที่พยายามหาทางออกมานานกว่า 20 ปี คือ วัตถุดิบ ไม้คู่แคน ไม้ลำแคน ต้องนำเข้าจาก สปป.ลาว พยายามนำสายพันธุ์มาปลุกเกือบ 20 ปี แต่ไม่สำเร็จ มีขนาดไม่เหมาะกับการนำมาผลิตแคน เชื่อว่ามาจากสภาพภูมิประเทศ สภาพอากาศ ไม่เอื้ออำนวย ทำให้แบกภาระต้นทุนค่าใช้จ่าย ปัจจุบันมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าไม้คู่แคน เกือบตันละ 20,000 บาท ถือว่าสูงเท่ากับราคาสินค้า หากรัฐบาลมีแนวทางช่วยเหลือผ่อนผันเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์ ต่อชาวบ้านในพื้นที่มีรายได้มากขึ้น

ขณะที่ นายอนุชิต หงษาดี แกนนำครอบครัวเพื่อไทย เปิดเผยว่า หลังทราบปัญหาตนได้ลงพื้นที่ พูดคุยกับตัวแทนชาวบ้าน หมู่บ้านเครื่องดนตรีอีสาน เพื่อนำเสนอรัฐบาลพรรคเพื่อไทย สอดคล้องกับนโยบายผลักดันสินค้าซอฟต์พาวเวอร์ ตนเชื่อว่า จะเกิดประโยชน์ต่อประชาชน หากรัฐบาลมีแนวทางการช่วยเหลือผ่อนผันลดหย่อนภาษีนำเข้าไม่ทำแคน จะเป็นการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และส่งเสริมสินค้าซอฟต์พาวเวอร์ของนครพนม พร้อมผลักดันให้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ประจำปี เชื่อว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ของ จ.นครพนม อย่างแน่นอน