MOU44 จะกลายเป็น ICU สำหรับรัฐบาลแพทองธาร ให้ซ้ำรอยประวัติศาสตร์รัฐบาลพ่อและอาหรือไม่ เมื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาแอ็กชั่นชิมลางเข้าไปเหยียบทำเนียบรัฐบาล ขู่ฮึ่มๆจะพาประชาชนลงถนนหากไม่ยกเลิก MOU44 โดยขีดเส้นกลับมาฟังคำตอบภายใน15 วัน
ทำให้บรรยากาศการเมืองไทยอยู่ในภาวะอึมครึม อบอวลไปด้วยกลิ่นรัฐประหาร โดยมี “ม็อบสนธิ” เป็น สารตั้งต้น!!
ว่ากันด้วยเรื่อง “สารตั้งต้น” วาทกรรมนี้ “สนธิ”ได้พยายามโต้แย้งกรณีที่มีการพาดพิงว่าเขาเป็นสารตั้งต้นความวุ่นวาย ประเทศไม่เดินหน้าต่อไปเพราะการประท้วงของเขา
“ผมก็จะถามกลับต่อไป ว่าที่ประท้วง 2548 เนี่ย ... ประท้วงใคร ประท้วงเรื่องอะไร พี่น้องครับผมใช้เวลา 18 ปีในการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ว่าความจริงมีหนึ่งเดียว ให้ทักษิณ ชินวัตร สารภาพผิด บรรจุลงในราชกิจจานุเบกษาว่าได้คดโกงประเทศชาติไปยังไง ความจริงประวัติศาสตร์รอตั้ง 18 ปี”สนธิ ระบุ
อย่างไรก็ตาม กลับมาพิเคราะห์อย่างสังเคราะห์ “สารตั้งต้น” ของเผือกร้อนMOU44 แม้ฝ่ายรัฐบาลเองก็มีการตอบโต้ว่าเหตุใดรัฐบาลรัฐประหารจึงไม่ดำเนินการยกเลิก MOU44
แต่ที่ “สนธิ” ตอกย้ำว่า เป็น MOUขายชาติ นั่นก็เป็นเพราะความเชื่อว่าเป็นทฤษฎี “สมคบคิด” กันเรื่องผลประโยชน์ระหว่าง “ทักษิณ”กับ “ฮุนเซน”
เริ่มมาจากในสมัยที่ “ทักษิณ” เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้จัดให้มี“บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับ รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน” หรือ MOU2544 ในวันที่ 18 มิถุนายน 2544
และเมื่อถูกรัฐประหาร ไปอยู่ต่างแดนไกล แล้วได้กลับมาประเทศไทยในรอบ 17 ปี ออกจากชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ย่างเท้ากลับเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า อาคันตุกะที่มาเยี่ยมเยียน “ทักษิณ”เป็นคนแรกก็คือ ฮุน เซน ประธานองคมนตรีแห่งกัมพูชา
กระทั่ง “ทักษิณ” ได้ขึ้นไปโชว์วิสัยทัศน์ บนเวที Vision for Thailand 2024 ในหัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจจะขับเคลื่อนไปอย่างไร ทิศทางการเมืองไทยนับต่อจากนี้” ซึ่งจัดขึ้นโดยสถานีโทรทัศน์ Nation TV เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ได้มีการกล่างวถึงประเด็นเรื่องผลประโยชน์ทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา
“สำหรับเขตทับซ้อนทางทะเลเป็นเรื่องที่อยากพูด โดยหลักการคือ เราต้องลากไหล่ทวีปออกจากแผ่นดินไป 200 ไมล์ทะเล ทั้งสองประเทศเกยกันตรงไหนถือเป็นเขตทับซ้อน หากมีทรัพยากรอยู่ ก็แบ่งกันคนละ 50% เหมือนสิ่งที่เราทำกับมาเลเซียสำเร็จมาแล้ว
เป็นหลักการที่เราต้องทำ เพราะน้ำมันกับแก๊สที่มีอยู่จะใช้ไม่ได้แล้ว อนาคตคนจะรังเกียจฟอสซิลไปใช้พลังงานสะอาด ตอนนี้กำลังให้เขาไปศึกษาว่า นอร์เวย์ทำอย่างไรที่เอาทรัพยากรธรรมชาติมาแบ่งกับประชาชนทั้งประเทศ นำไปเฉลี่ยกับการราคาที่นำเข้าพลังงาน เพื่อทำให้เราใช้พลังงานในราคาที่ถูกลง”
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ปมร้อน MOU ปลุกกระแส “คลั่งชาติ” ที่ “สนธิ”ประกาศว่า รอบนี้ต้องชนะลูกเดียวนั้น
บรรยากาศการเมืองก็เหมือนย้อนกลับไปในห้วงก่อนที่ “เสี่ยนิด”เศรษฐา ทวีสิน จะถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาของ พรรคภูมิใจไทย ที่ขบเหลี่ยมปีนเกลียวกับพรรคเพื่อไทย จากเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญปมประชามติใช้เกณฑ์เสียง2 ชั้น จนเด็กพรรคเพื่อไทยทนไม่ไหวหลุดคิวออกมาว๊ากใส่ ขู่ถึงยุบสภาฯมาแล้ว
และล่าสุด งัดกันอีกรอบ กับเรื่องร่างพ.ร.บ.กลาโหม ฉบับสส.พรรคเพื่อไทย ที่ว่ากันว่าจะเป็นกฎหมายสกัดปฏิวัติ แต่ท่าทีของ “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กลับออกมาคัดค้าน บอกไม่จำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายสกัดปฏิวัติ แค่นักการเมืองอย่าทำอะไรที่เข้าเงื่อนไขเท่านั้น
“อยู่ที่นักการเมือง อย่าโกง อย่าสร้างความแตกแยก อย่าลงถนน หลักการสำคัญที่ควรต้องมีคือ การเมืองไม่ควรไปก้าวก่าย แทรกแซงกองทัพ ซึ่งเป็นหนวยงานที่มีลักษณะพิเศษ”
จน ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.พรรคเพื่อไทยที่เป็นต้นเรื่องของร่างกฎหมายฉบับนี้ ต้องถอยและจะเสนอขอถอนร่างดังกล่าวไปปรับปรุงแก้ไขใหม่
ในขณะที่ฝ่านค้านอย่าง พรรคประชาชน เองก็หงายปังตอรอสับรัฐบาลแพทองธาร เพื่อกระชากเรตติ้งตัวเอง หลังจากสะกดคำว่า “ชนะ”ไม่เป็น ในศึกเลือกตั้งซ่อมสส.และเลือกตั้งท้องถิ่น แม้จะพยายามสลัดภาพลักษณ์ “พรรครอเสียบ” ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ด้วยก่อนหน้านี้ไม่ยอมแตะประเด็นเรื่องชั้น 14 ที่สร้างแรงเขย่าให้กับรัฐบาล ที่เชื่อกันว่า หากกระบวนการในสภาไม่เป็นผล กระบวนการนอกงสภาในปีกของมวลชนราษฎร หรือด้อมส้มก็อาจจะไหลไปผสมรวมกับม็อบเหลือง
ไม่เท่านั้น ยังมีปัจจัยที่เรียกว่า “จุดไฟเผาตัวเอง ” จากประเด็นเรื่องปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 15 % จากปากของขุนคลัง ที่เกือบจะบานปลายกลายเป็นไฟลามทุ่ง หาก “นายกฯอิงค์”แพทองธาร ชินวัตร ไม่รีบตัดไฟ ก็เชื่อว่าประเด็นนี้ จะทำให้ม็อบจุดติดได้
ทั้งหมดนี้ ดูเหมือนจะเป็น “สารตั้งต้น” บั่นทอนความมั่นคงของรัฐบาลแพทองธาร ที่ขยับใกล้ “ขีดอันตราย” ดีเดย์