การเมืองสนามท้องถิ่นที่มีความเคลื่อนไหวร้อนแรงที่สุด ณ เวลานี้ คงหนีไม่พ้น การชิงเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ฉะเชิงเทรา ซึ่งคณะผู้บริหาร นำโดย นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายกอบจ.ฉะเชิงเทรา จะหมดวาระลงในวันที่ 19 ธ.ค.67 และได้มีกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 1 ก.พ.68
ความเคลื่อนไหวที่ทุกคนต้องจับตาแบบไม่กระพริบ เมื่อกลุ่มการเมืองบ้านใหญ่ เกือบทั่วทุกหลังในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ได้นัดรวมตัวกันที่ “The Brown House” ร้านอาหารกึ่งโรงแรมย่านตลาดบ้านใหม่ 100 ปี ในเขต อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา และอยู่ใกล้กับบ้านพักของนายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา คนปัจจุบันที่ครองตำแหน่งนั่งเก้าอี้มาอย่างยาวนานกว่า 20 ปีเพียงประมาณ 1 กม.เท่านั้น
โดยกลุ่มการเมืองดังกล่าวประกอบด้วย นายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย คนบ้านริมน้ำ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่มาพร้อมกับบุตรชาย คือ นายศักดิ์ชาย ตันเจริญ ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 3 พรรคเพื่อไทย นายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อดีต รมว.สาธารณสุข แกนนำกลุ่มวังพญานาคในอดีต และยังดำรงตำแหน่งประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีต รมว.ศึกษาธิการ
นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง อดีต ส.ส.เขต 4 ฉะเชิงเทรา อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 1 พรรคเพื่อไทย นายสมชัย อัศวชัยโสภณ อดีต ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 2 พรรคเพื่อไทย ที่มาพร้อมกับบุตรชาย นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง อดีตผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 2 นายมติชน ชูทับทิม (อาร์ม) อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ผู้ที่ลงสมัครแข่งกับ นางฐิติมา ฉายแสง ในการเลือกตั้งเมื่อครั้งที่ผ่านมาจนเกือบได้รับชัยชนะด้วยคะแนน 33,000 คะแนนห่างจากคน “ฉายแสง” เพียง 2 พันกว่าคะแนนเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีคนตระกูลดังในกลุ่มการเมืองสนามเล็กจากตระกูล “นพเกตุ” สายการเมืองผู้กว้างขวางในเขตพื้นที่ อ.แปลงยาว คือ นายธนะเกียรติ นพเกตุ (มะกัน) นายก อบต.หัวสำโรง และประธานชมรมองค์การบริหารส่วนตำบล จ.ฉะเชิงเทรา บุตรชายของนายสมบัติ นพเกตุ ผู้ที่เคยเป็นฐานคะแนนใหญ่ให้แก่พรรคการเมืองระดับชาติอีกพรรคหนึ่งแถบย่านภาคใต้ในอดีต เดินทางมาร่วมจับมือด้วย พร้อมด้วยอดีต ส.อบจ. และนายกการเมืองท้องถิ่นอีกจำนวนมาก
ซึ่งการรวมตัวกันครั้งนี้ เป็นการมารวมตัวกันเพื่อเสวนาพูดคุยกันในเรื่องทิศทางในการพัฒนา จ.ฉะเชิงเทรา ในอนาคต และได้จับมือกันเป็นสัญลักษณ์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นของกลุ่มคนการเมืองขนาดใหญ่ จากบ้านหลายหลังเพื่อสนับสนุนให้ นายกลยุทธ ฉายแสง หรือ “นายกก้อย” นายกเทศมนตรีเมืองฉะเชิงเทรา น้องชายคนรองของนายจาตุรนต์ ฉายแสง ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.ฉะเชิงเทรา
ด้านนายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ตนเองยังคงยืนยันที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกอบจ.ฉะเชิงเทรา ต่อไปอีก 1 สมัย หลังจากมีประชาชนจำนวนมากได้มาเรียกร้องขอให้ตนกลับมาลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง เพื่อนั่งบริหารงานในตำแหน่ง นายก อบจ.ต่อไป ซึ่งครั้งแรกนั้นเคยคิดว่าอยากจะวางมือ และจะไม่ลงสมัครอีกแล้ว เพราะคิดว่าได้ทำงานเพื่อประชาชนมามากพอสมควรแล้ว แต่เมื่อมีพี่น้องประชาชนทราบข่าวว่าตนเองนั้นจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ. อีกต่อไป จึงได้ต่างพากันเข้ามาเรียกร้องบอกว่าขอให้ลงสมัครเป็นนายกฯ ต่อไป เพราะหากว่าตนเองไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งต่อไปนั้น เวลาชาวบ้านมีความเดือดร้อนเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใครได้ จะเข้าหาใครและเป็นที่พึ่งได้ เพราะตนเองนั้นได้ดูแลช่วยเหลือสังคมมาเป็นอย่างดีมานานแล้ว
ฉะนั้นจึงได้กลับมาคิดได้ว่า ถึงอย่างไรก็ต้องกลับมาลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อรับใช้พี่น้องประชาชนต่อไป ตามที่ชาวบ้านต้องการและต่างพากันสงสารตนและอยากให้ได้กลับเข้ามารับใช้ประชาชนต่อไป แม้จะมีกระแสข่าวออกผ่านทางสื่อมวลชนว่า ในระยะนี้ได้มีผู้ที่ออกมาเปิดตัวว่า จะมาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.กันเป็นจำนวนมากหลายคน โดยตนก็มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นวิถีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ที่ใครก็มาลงสมัครรับเลือกตั้งได้
“ขณะนี้เท่าที่ทราบข่าวมาแล้วนั้น มีมากถึง 3 คน จึงอยากจะขอฝากไปถึงยังพี่น้องประชาชนว่า หากที่ผ่านมานั้นตนเองได้ทำคุณงามความดีเอาไว้ให้แก่ประชาชนได้เห็น และถ้าหากมองเห็นก็เลือกตนเองให้ได้กลับเข้ามาทำงานต่อไป แต่หากมองไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ตนก็จะกลับมาเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเหมือนกัน ซึ่งที่ผ่านมาเวลาไปไหนตนมักจะพูดเสมอว่า “พี่น้องประชาชน คือ เจ้านายของผม” เพราะหากไม่มีพี่น้องประชาชน ผมก็ไม่สามารถที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารท้องถิ่นได้”
ส่วนกรณีที่กลุ่มคนบ้านใหญ่เปิดตัวว่าจะส่งคนตระกูลดัง “ฉายแสง” มาลงแข่งขันเพื่อแย่งชิงเก้านายก อบจ.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย นายกิตติ บอกว่า รู้สึกหนักใจมาก เพราะว่ามีนักการเมืองระดับชาติ ได้ลงมาสนับสนุนกัน ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรและหนีไม่ออก แต่ก็ต้องลงสมัครรับเลือกตั้งเพราะต้องอาศัยพี่น้องประชาชน ขณะนี้ได้มีผู้หลักผู้ใหญ่ระดับอดีต รมต.โทรศัพท์มาสอบถามว่า ตนเองนั้นโดนกลุ่มคนบ้านใหญ่รุมกันมากมายถึงขนาดนี้เลยหรือ จึงได้ตอบกลับไปว่า “ไม่รู้ว่าจะทำอย่างครับ เพราะผมก็อยู่ตัวคนเดียว” ก็คงได้แต่อาศัยพี่น้องประชาชนในการเดินหน้าต่อไป โดยต้องยอมรับว่าในขณะนี้ตนเองนั้น “ถูกโดดเดี่ยว” แต่ก็อาจจะมีผู้หลักผู้ใหญ่บางรายนั้น อาจจะเข้ามาช่วยเหลือบ้างทางด้านหลัง โดยที่ไม่ได้ออกหน้าอย่างเต็มตัว ส่วนกลุ่ม ส.อบจ. ในทีมงานนั้น ยังคงพร้อมที่จะกลับมาลงสมัครรับเลือกตั้งต่อสู้ในทีมเดียวกันต่อไป แบบพร้อมกันจนครบทุกเขตเลือกตั้งรวม 30 คน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย
ตลอดระยะเวลาโค้งสุดท้ายช่วงก่อนหมดวาระการบริหารงานของ นายก อบจ. และ ส.อบจ.ชุดเก่าในวันที่ 19 ธ.ค.67 นี้ ได้มีการเปิดตัวหรือนำเสนอตนเองว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.คนต่อไปจำนวน 3 คน ซึ่งประกอบด้วย นายกลยุทธ ฉายแสง นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา น้องชายคนรองของนายจาตุรนต์ ฉายแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต รมว.ศึกษาธิการ โดยมีกลุ่มการเมืองขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยนักการเมืองระดับชาติ หรือซุ้มบ้านใหญ่หลายหลังเข้ามาให้การสนับสนุน เช่น คนบ้านริมน้ำ “นายสุชาติ ตันเจริญ” ทั้งยังมี “นายพินิจ จารุสมบัติ” อดีตแกนนำกลุ่มวังพญานาค นายสมชัย อัศวชัยโสภณ อดีต ส.ส.เขต 2 ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ อดีต ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 4 พรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เขต 4 ฉะเชิงเทรา
ตลอดจนกลุ่มของกำนันบัง “นายสมบัติ นพเกตุ” ผู้กว้างขวางในย่าน อ.แปลงยาว อดีตฐานคะแนนเสียงของพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งแถบภาคใต้ เข้ามาให้การสนับสนุนในการลงสมัครแย่งชิงตำแหน่ง นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา ในครั้งนี้ และยังมี นายพนธ์ มรุธพงษ์สาธร อดีตเลขานุการนายก อบจ.ฉะเชิงเทรา ที่เคยอยู่ร่วมงานกันกับนายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ แต่ได้หวนกลับมาเปิดตัวที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งขันเป็นนายก อบจ.ฉะเชิงเทรา ในครั้งนี้ด้วยอีกคน
ท่ามกลางสายตาของคนในสังคมชาว จ.ฉะเชิงเทรา ที่ต่างพากันจับจ้อง และต่างพูดถึงการเลือกตั้งในครั้งนี้กันทั่วไปอย่างกว้างขวาง เพราะถือเป็นการวัดพลังของคนการเมืองท้องถิ่นกับพลังของคนการเมืองระดับชาติที่มีดีกรีบ้านใหญ่ในพื้นที่ ว่าบุคคลกลุ่มใดที่ประชาชนในพื้นที่เชื่อถือ ให้ความรักและให้ความไว้วางใจในการเข้ามาทำงาน ในหน้าที่บริหารงานท้องถิ่นระดับจังหวัดมากกว่ากัน