คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
แทบไม่น่าเชื่อว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผ่านไปเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วนั้น จากผลการหยั่งเสียงของ“กัลลัพโพล”ได้ออกมาเปิดเผยครั้งล่าสุดนี้ว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ 9 ใน 10 คนพึงพอใจที่ “ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ได้รับเลือกเข้ามารับตำแหน่งอีกครั้งคราหนึ่ง
และจากผลการหยั่งเสียงของกัลลัพโพลในครั้งนี้ ยังเปิดเผยออกมาอีกว่า สมาชิกในค่ายพรรครีพับลิกันถึง 99% ต่างรู้สึกภูมิใจที่ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเลือกด้วยเช่นกัน
ส่วนสมาชิกในค่ายพรรคเดโมแครต 84% ก็ทำใจยอมรับที่ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเลือกอีกด้วย!!!
และจากผลการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯในปีนี้ปรากฏออกมาให้เห็นว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่มิได้แปลกใจแต่อย่างใดที่ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้ที่ได้รับเลือก ซึ่งแตกต่างไปจากการที่โดนัลด์ ทรัมป์ เคยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเมื่อปีค.ศ. 2016 โดยสิ้นเชิง
และในทางกลับกันปรากฏออกมาว่าขณะนี้คะแนนนิยมของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”ร่วงหล่นลงจากที่เคยมีอยู่ 43% เหลืออยู่แค่เพียง 40% เท่านั้น
นอกจากนั้นแล้วยังปรากฏออกมาอีกด้วยว่าในรัฐบาลหน้าที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 พรรครีพับลิกันสามารถเข้าไปนั่งคุมเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและในสภาผู้แทนราษฎรอีกด้วย
ซึ่งในวุฒิสภา ปรากฏว่า พรรครีพับลิกันเข้าไปมีเสียงข้างมากอยู่ที่ 53 ต่อ 47 เสียง
ส่วนในสภาผู้แทนราษฎร พรรครีพับลิกันก็เข้าไปนั่งคุมเสียงข้างมากอยู่ที่ 220 ต่อ 215 เสียง แถมยังปรากฏว่า ขณะนี้พรรครีพับลิกันได้รับคะแนนนิยมเหนือกว่าพรรคเดโมแครตที่ 44% ต่อ 38%
เมื่อมองในภาพรวมกันดูแล้วจะเห็นได้ว่า ชัยชนะของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ในครั้งนี้สามารถพลิกฟื้นให้พรรครีพับลิกันกลับมามีความหวัง มีความโล่งใจ และมีความภาคภูมิใจ!!!
แต่ในทางกลับกันในค่ายของพรรคเดโมแครต ขณะนี้กลับเกิดความวิตกกังวล ความโกรธแค้น แต่อย่างไรก็ตามสมาชิกในค่ายพรรคเดโมแครตส่วนใหญ่ ต่างก็ยอมรับว่า “ในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับชัยชนะอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แถมยังมีชัยชนะสูงกว่า การเลือกตั้งเมื่อปีค.ศ. 2016 ด้วยซ้ำไป”
อนึ่งจากการให้สัมภาษณ์ของ ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ผ่านสื่อเป็นครั้งแรกทาง “สถานีโทรทัศน์ช่องเอ็นบีซี” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2024 ที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้ ทำให้พวกเราพอได้เห็นแนวโน้มกันอย่างรางๆแล้วว่า เมื่อว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ก้าวขาเข้าไปสู่ทำเนียบขาวแล้วเขาจะทำอะไรบ้าง?
ซึ่งการให้สัมภาษณ์พิเศษในครั้งนี้ ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ส่งสัญญาณว่า จะเร่งปราบปรามผู้ที่เข้าสหรัฐอเมริกาอย่างผิดกฎหมายอย่างแข็งขันและทันท่วงที
อีกทั้งจะอภัยโทษจากเหตุการณ์ที่มีผู้เข้าไปก่อเหตุประมาณ 2,000 ถึง 2,500 คน เข้าไปบุกรุกรัฐสภาของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ.2021 ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 562 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในคุก (ตามข้อมูลของสถานีโทรทัศน์ NBC ของวันที่ 8 ธันวาคม 2024)
ในกรณีของผู้ร่วมก่อการจลาจลที่สนับสนุนว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์อย่างแข็งขันหลายพันคนที่มีข่าวโด่งดังไปทั่วโลกถูกตั้งข้อหาและถูกคุมขังประมาณ 645 คนนั้น ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ส่งสัญญาณออกมาแล้วว่า พวกเขาจะได้รับอภัยโทษจนหมดจนสิ้น และในเรื่องนี้เขาจะดำเนินการอย่างรวดเร็วที่สุด
แถมยังเอ่ยปากขู่ว่า จะหาทางจับกุมศัตรูทางการเมืองของเขาเข้าไปขังอยู่ในคุกแทน!!!
สำหรับเรื่องการเนรเทศชาวต่างชาติที่อยู่อย่างผิดกฎหมายนั้น ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์เอ่ยปากบอกว่า จะอนุญาตให้กับเยาวชนนักล่าฝันที่เรียกกลุ่มนี้ว่า “Dreamers” ที่อพยพติดตามบิดาและมารดาเข้าสหรัฐฯแบบผิดกฎหมายโดยมิรู้อิโหน่อิเหน่ ซึ่งขณะนี้เยาวชนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีวุฒิภาวะเป็นผู้ใหญ่ และบางคนก็ยังมีธุรกิจเป็นหลักเป็นฐานมั่นคงของตนเองแล้ว โดยว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์กกล่าวว่า จะให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถพำนักอาศัยต่อไปได้
ทั้งนี้ที่ผ่านมาเมื่อปีค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นรัฐบาลยุค “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” ได้เป็นผู้ริเริ่มเปิดโอกาสให้แก่กลุ่มดรีมเมอร์ผู้สานฝัน ที่มีอยู่ประมาณแสนกว่าคน โดยสมัยแรกที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้าไปรับตำแหน่ง ในครั้งนั้นเขาเพียรพยายามที่จะยกเลิกโครงการดังกล่าว แต่กลับถูกศาลฎีกาไม่เห็นด้วย
ในกรณีของเด็กทารกที่เกิดในสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้รับหลักประกันในข้อรัฐธรรมนูญที่ว่า “ผู้ใดก็ตามที่ถือกำเนิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆก็ตาม ให้ถือว่าพวกเขามีสัญชาติเป็นคนอเมริกันโดยอัตโนมัติ” จึงเป็นที่มาที่ทำให้บรรดาชาวต่างชาตินิยมจะอุ้มท้องเดินทางเข้าไปสู่สหรัฐฯอเมริกา เพื่อให้ลูกของพวกเขาเกิดในสหรัฐฯ และได้รับสิทธิประโยชน์ทุกๆอย่างตามที่พึงมีพึงได้ หรือที่เรียกกันว่า “Birthright” แต่ดูเหมือนว่าต่อไปในอนาคตว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องการจะยกเลิกสิทธิข้อนี้ออกไป
อย่างไรก็ตามนักวิชาการด้านกฎหมายส่วนใหญ่ต่างออกมากล่าวให้ข้อคิดเห็นในประเด็นนี้กันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่มีอำนาจที่จะยกเลิกสิทธิการเป็นพลเมืองที่ได้รับการรับรองโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 14 ซึ่งระบุเอาไว้ว่า “บุคคลทุกคนที่เกิดในสหรัฐอเมริกา ย่อมเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกาโดยอัตโนมัติ”
ส่วนกรณีการคิดบัญชีต่อศัตรูทางการเมืองเมื่อครั้งที่ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยป่าวประกาศเอาไว้เมื่อครั้งที่เขาหาเสียง ปรากฏว่าขณะนี้มีข่าวแว่วๆออกมาว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนอาจจะออกคำสั่งอภัยโทษให้แก่บุคคลที่อยู่ในข่ายเป็นศัตรูทางการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์ ล่วงหน้า
ส่วน “คริสโตเฟอร์ เรย์”ผู้อำนวยการหน่วยเอฟบีไอ ที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยแต่งตั้งเมื่อปีค.ศ. 2017 นั้น ขณะนี้เขากลับส่งสัญญาณว่าจะแต่งตั้งผู้อำนวยการหน่วยเอฟบีไอคนใหม่ สืบเนื่องมาจากเขาไม่พอใจที่ผู้อำนวยการคริสโตเฟอร์ เรย์ มีส่วนในการออกคำสั่งให้ไปค้นบ้านของเขาเมื่อปีค.ศ.2020 ณ “คฤหาสน์มาร์อาลาโก” รัฐฟลอริดา สืบเนื่องมาจากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์นำเอาเอกสารลับจากทำเนียบขาวไปเก็บเอาไว้
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์มิได้พูดเจาะจงลงลึกว่า จะปลดประธานเฟด “เจอโรม พาวเวลล์” ผู้ที่เขาเคยแต่งตั้งเอาไว้ เมื่อครั้งที่ขารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกหรือไม่?
ทั้งนี้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ให้สัมภาษณ์ต่อไปอีกว่า ในวันที่ 20 มกราคม 2025 ที่เขาเข้ารับพิธีสาบานตัวอย่างเป็นทางการนั้น เขาจะเร่งลงนามในคำสั่งหลายๆฉบับเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจ ด้านพลังงาน และด้านความปลอดภัยในเขตชายแดนของสหรัฐฯ
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นหาก “ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” จะกระทำตามปากที่เขาเอ่ยออกมาในการให้สัมภาษณ์ที่ดูเหมือนว่าท่าทีแข็งกร้าวของเขาจะอ่อนลง เช่น การยอมผ่อนปรนปลดล็อคเรื่องของเยาวชน“กลุ่มดรีมเมอร์” ซึ่งผมก็ทำได้แค่เพียงยกมือภาวนาขอให้เขายอมผ่อนปรนในเรื่องอิมมิเกรชั่นที่จะทำให้พี่น้องคนไทยที่อาศัยอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆในสหรัฐฯได้พอหายใจได้บ้างไม่มากก็น้อยละครับ