ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“ชีวิต..มีของขวัญอันดีงามเฉพาะตัวเสมอ มันคือคุณค่าแห่งการสร้างสรรค์ที่เรากระทำขึ้นมาเพื่อเสริมส่งจิตวิญญาณของตัวตน..

สิ่งต่างๆในเบื้องลึก ของความหมายนี้ เชื่อมโยงหัวใจของทุกๆคนให้เกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งเสมอ ..มันคือบทบาทแห่งสถานะอันพิสุทธิ์พิศาล ของการปล่อยวางความหนักอึ้ง..สู่ความปลดปลงอันบางเบา..

...เหล่านี้คือการขจัดภาระรู้สึกออกไปจากใจ ท่ามกลาง"ขยะแห่งความทุกข์เศร้า"และ ภาวะแห่งความอับปางอันตกอยู่กับเงื่อนงำเหนือวิกฤตการณ์ทั้งหลายทั้งปวง..

“เราไม่ต้องแบกภาระของความทรงจำ เพราะ ของขวัญแห่งการลืม จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา..”

เมื่อเราประจักษ์ถึงความจริงในข้อนี้..ชีวิตของเราก็ย่อมจะบังเกิดขุมทรัพย์แห่งจิตปัญญาขึ้นได้..ไม่วันใดก็วันหนึ่ง..และนั่นคือ “ความจริงที่แท้”..ในห้วงขณะแห่งความเป็นชีวิต...ที่ดำรงอยู่และดำเนินไปของทุกๆคน.."

สาระแห่งคุณค่าทางความคิดเบื้องต้น..เป็นของหนังสือ “5 Gifts for the Mind” ปัญญาทั้ง 5 เพิ่มพลังความคิด หนังสือที่สื่อสารถึง “การเปิดขุมทรัพย์สมอง” อันถือเป็นของขวัญจากปรัชญาเอเชีย 5 ประเทศ เพื่อเพิ่มความสุขสำเร็จให้แก่ชีวิต..งานเขียนที่สร้างสรรค์โดย.. “เอรัน คัทช์” (Eran Katz)นักพูด นักเขียน ชาวอิสราเอล ผู้จบการศึกษาในทางรัฐศาสตร์และด้านบริหารการตลาด..เขายังเป็นผู้ฝึกอบรมมืออาชีพด้านเทคนิคการจำและการสร้างความฉลาด เป็นต้นตำรับของหลักสูตร “Mega Mind”..รวมทั้งเป็นผู้ที่กินเนสส์บุ๊ก อิสราเอลยกย่องว่า.. “มีความจำเป็นเลิศ”..

... “ในหนังสือเล่มนี้..ผมมีความต้องการอย่างแรงกล้า ที่จะให้เกิดการทลายกำแพงด้านจิตใจ อันเกี่ยวเนื่องกับทักษะที่เกิดมาพร้อมกับตัวเรา..หรือน่าจะกล่าวว่า เป็นทักษะที่เราไม่รู้ว่าเรามีอยู่กับตัวเสียมากกว่า..ไม่ว่าจะเป็น การลบความทรงจำที่ไม่ต้องการและข้อมูลที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต การป้องกันความผิดพลาดอย่างมหันต์ การควบคุมแรงกระตุ้นและความปรารถนา ตลอดจนแรงจูงใจผู้คน โดยให้ผลสำเร็จถึง 90 เปอร์เซ็นต์..”

“เอรัน คัทช์” ..ได้ชี้ให้เห็นถึงนัยแห่งการดึง ศักยภาพของสมองที่ซ่อนเร้น เป็นหลักใหญ่..ทั้งนี้..เพื่อให้เป็นเครื่องมือสร้างความสำเร็จเกินคาดหมาย ..ด้วยภูมิปัญญาเอเชีย 5 ประเทศ..อันได้แก่..เกาหลี อินเดีย..ไทย จีน และ ญี่ปุ่น..ดังมีรายละเอียดของหัวข้อความคิดที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ..ดังนี้..

*เกาหลี ...จะแสดงความคิดถึง วิธีแสวงหาปัจจุบันและอนาคตที่ดีกว่า..ไม่จ่อมจมอยู่กับอดีต ..ด้วยวิธีลบความทรงจำที่ไม่ต้องการ เพื่อเดินหน้าสู่ความสุข และความสำเร็จ..ด้วยวิธีบิดเบือนความทรงจำเพื่อประโยชน์ของตนเอง..รวมทั้งการเรียนรู้ในเทคนิคการลืมของมนุษย์..

*อินเดีย..ได้สื่อการเรียนรู้..ถึงวิธีการหลีกเลี่ยง ต่อการตัดสินใจผิดพลาด ในอนาคตอย่างผู้เชี่ยวชาญ..ผ่านการเอาชนะปัจจัยภายนอกที่สร้างความผิดพลาด..วิธีตัดสินใจให้ถูกต้องและแม่นยำภายใน 2 นาที รวมทั้งเทคนิคท่องโลก ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดพลาด..!

มาถึงไทย...ไทยเราเน้นวิธีเอาชนะความปรารถนาที่ไร้เหตุผล เพื่อความผาสุขโดยรวม ..รวมถึงวิถีหันเหความสนใจด้วย 400 ก้าว..และ..7 ขั้นตอนสู่การควบคุม และความทะยานอยาก..ซึ่งโดยรวม..มันคือ “วิธีควบคุม ปรารถนาส่วนตัว..”

*จีน..แสดงถึง วิธีการแห่งการจูงใจที่สัมฤทธิผล..ซึ่งก็ได้แก่ 4 ขั้นตอนแห่งการโน้มน้าวใจในการขายให้ประสบความสำเร็จเกิน 90 เปอร์เซ็นต์..รวมถึง เเนวทางในการแก้ปัญหาที่ยอดเยี่ยมสำหรับพนักงานซื้อขาย..!

*ญี่ปุ่น...สื่อสารถึงวิธีสร้างความงดงามให้ดึงดูดใจ..เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ..รวมทั้ง การให้ความสำคัญกับ ลายเส้น ลายเซ็น และ ลายมือ..ตลอดจนสิ่งสำคัญในนัยของ.. “ความงามที่มีอิทธิพลต่อจิตใจ..”

หนังสือเริ่มต้นเปิดประเด็นด้วยภูมิปัญญาจาก “เยรูซาเล็ม-อิสราเอล” แผ่นดินถิ่นเกิดของผู้เขียนด้วยสำนึกคิดอันชวนคิดที่ว่า “ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เป็นอันมากจากบรรดาครู แต่เรียนรู้มากที่สุดจากบรรดาศิษย์” ..นี่เป็นถ้อยคำในคัมภีร์โบราณ “ทาลมุด” ..ที่มีการอ้างถึงกันบ่อยๆ..เป็นการสอนให้และกระตุ้นให้นักศึกษาตั้งคำถาม..เพื่อสร้างงานที่ต้องมีการค้นคว้า..เป็นการกระตุ้นให้ได้มีการค้นหาคำตอบ..ซึ่งนำไปสู่คำถามแก่ใครๆว่า.. ท่านกระทำเช่นนี้บ้างหรือไม่?..และตั้งแต่เมื่อไหร่?..

..การได้รับงานที่ต้องค้นคว้าในหัวข้อเกี่ยวกับขุมทรัพย์ของสมองมนุษย์ที่ถูกกลบฝังไว้...เราจำเป็นที่จะต้องเปิดขุมทรัพย์นี้ เพื่อพิสูจน์ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้..เช่นว่า “เรามีทักษะที่ซ่อนอยู่..ความสามารถอันน่าอัศจรรย์ที่เราไม่เคยใช้ และ..ที่ว่ามนุษย์คนใดก็ตามสามารถใช้สมองส่วนที่ซ่อนอยู่นี้..เพื่อประโยชน์ของตนเองได้..มันคือของขวัญที่เราจะต้องมอบให้แก่โลก..และโลกก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..”

บริบท ณ "บอสตัน"..ให้แนวคิดที่ฝังจำว่า  “ของขวัญแห่งการลืม มันเป็นของขวัญชิ้นสำคัญสำหรับผู้ที่แสวงหาปัจจุบันและอนาคตที่ดีก็ว่าแทนที่จะจมอยู่กับอดีต”

..เนื่องเพราะ..จินตนาการถึงอดีตของเราจะถูกกลบฝังไปตลอดกาล..และ..ความปวดร้าวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จะถูกลบออกจากความทรงจำ..กระทั่งแฟ้มและข้อมูลในสมองที่เราไม่ต้องการอีกต่อไปแล้ว..

"สมองมนุษย์จะลบความทรงจำตามใจต้องการ..และ ทำให้มีที่ว่างสำหรับความทรงจำที่ดีก็ว่า..ได้หรือเปล่า?"

..*นั่นคือคำถาม..แห่งของขวัญของการลืมเลือน 

“เวลาไม่อาจลบความทรงจำเหมือนที่คนพูดกัน..แต่เวลาสำหรับภารกิจของเราอาจหมดลงได้..”

แม้ว่า..การลบความทรงจำที่เลวร้าย จะช่วยให้เราเริ่มต้นใหม่ได้..มันเป็นองค์ประกอบสำคัญของภาวะจิตที่ว่างเปล่า..เหมือนกระดาษขาว..มาสู่เกาหลี..การดึงเอาภาวการณ์ของชาวยิว..มาเปรียบเทียบกับโครงสร้างแห่งความเป็นชีวิตของพวกเขาถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ..ต่อมุมมองและแก่นสารทางความคิดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะใน.. “โครงสร้างแห่งการลืม”..

...ชาวยิวเป็นชนชาติที่เข้มแข็ง.. “ไม่มีใครคิดว่า..เราให้อภัยชาวเยอรมัน สำหรับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว..อันเป็นการฆาตกรรมคนหกล้านคนอย่างเป็นระบบ..แต่เราทิ้งอดีตไว้ข้างหลังเพื่อเห็นแก่อนาคต”

...ในความเป็นจริง อิสราเอลสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเยอรมันค่อนข้างเร็ว.. “ออสคาร์ ชินด์เลอร์” ..เคยพูดว่า.. “พลังที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดคือ..พลังของการให้อภัย..และคือเครื่องวัดความยิ่งใหญ่ของชาติ”..

ซึ่งชาวเกาหลีก็ทำเช่นเดียวกัน กับชาติที่เคยเป็นศัตรูอย่างเช่นญี่ปุ่น..พวกเขาทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง เพื่ออนาคตที่ดีกว่า..และชาวญี่ปุ่นก็ทำเช่นเดียวกัน..หลังจากที่อเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณู..

“..การให้อภัยลดความปวดร้าวได้..แต่ลบความทรงจำไม่ได้ทั้งหมด..มันเหมือนกับการขับรถไฟที่มีผู้โดยสารแน่นขนัด..ถ้าเราต้องการให้มันถอยหลัง เราจะทำในทันทีทันใดไม่ได้..เราต้องชะลอรถไฟที่กำลังวิ่งอยู่ แล้วหยุด..หลังจากนั้นจึงถอยได้..”

ทั้งหมดนั้นจึ่งคือ..วิธีการลบข้อมูลและความทรงจำที่เราไมต้องการ ที่สามารถสร้างผลสรุปได้ว่า..อารมณ์ยิ่งแรง ความทรงจำก็จะยิ่งอยู่นาน../เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีการให้อภัย เพื่อจะได้ลืม/เพราะ..ถ้าเราไม่ยอมให้อภัย เราก็จะทุกข์อยู่คนเดียว/ดังนั้น..ขั้นแรก..เราจึงจำเป็นต้องกำจัดอารมณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับความทรงจำนั้น../ด้วยการให้อภัยซ้ำไปสัก 78 ครั้ง..เหมือนการสวดมนต์ 77 จบ..ก็จะช่วยให้เราค่อยๆ..ให้อภัยและลบล้างความทรงจำที่เลวร้านได้..

“เมื่อจดจ่ออยู่กับปัญหาของความเจ็บปวดได้..ก็จงปล่อยวางปัจจัยภายนอกที่นำไปสู่..ความทรงจำเลวร้ายที่ยากจะลบเลือน...”

ในวิถีของ..อินเดีย..วิถีแห่งความสลับซับซ้อนอันยิ่งใหญ่..ในเงื่อนงำแห่งความเป็นจารีตนิยม...

“ความผิดพลาดที่ถูก คือความผิดพลาดที่ทำให้เราได้เรียนรู้จากมัน ส่วนความผิดพลาดที่ผิด ก็คือความผิดพลาดที่เรายังคงทำ อย่างต่อเนื่อง..เพราะความดื้อรั้น..”

มาถึงประเทศไทย..ณ กรุงเทพมหานคร..ที่ได้นัยความคิดว่า เป็นของขวัญแห่งการควบคุมความปรารถนา ซึ่งถือเป็นวิธีแสดงการควบคุมหรือปลดปล่อยตนเอง เพื่อดำรงชีวิตอย่างไร้ความผู้ทุุกข์.. กรุงเทพ..ดินแดนแห่งบูรพาทิศ..เมืองนี้ไม่รู้ว่าจะมุ่งไปสู่สภาพไหน..เมืองที่เร้าอารมณ์ความรู้สึกที่สุดในโลก..เมืองที่สอนและเตือนให้ชีวิตต้องให้อภัยตนเอง ที่ได้ทำลายแบบแผนทางศีลธรรม..ว่ากันว่า..

“คืนหนึ่งในกรุงเทพ บุรุษที่เข้มแข็งยังยอมสยบ..” เหตุนี้..ของขวัญแห่งการควบคุมความปรารถนา ณ ดินแดนนี้..จึงคือ..วิธีการควบคุมหรือปลดปล่อยตนเอง..เพื่อดำรงชีวิตที่ไร้ความทุกข์ ซึ่งนั่นย่อมทำให้..การกระทำตามสัญชาตญาณกลายเป็นสิ่งที่ดี..แต่การทำตามแรงกระตุ้นกลับเป็นสิ่งที่เลว.. 

ครั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสรรพสิ่งที่ยั่วกิเลส อย่างที่มีอยู่อย่างคลำคล่ำ..ในเมืองหลวงของประเทศนี้ก็จำเป็นที่จะต้องตั้งปฏิญาณเตือนใจอย่างถึงที่สุดว่า..เป้าหมายนั้นเป็นเป้าหมายเพียงพอประมาณ...กำหนดเวลาทำให้ได้ในระยะสั้นๆ/อีกทั้ง ยังต้องเป็นเป้าหมายที่ไม่กดดันตัวเองจนเกินไป ช่วยให้ทุกคนทำได้อย่างสบาย/และที่สำคัญ..เราจำเป็นต้องเตือนใจตนเองตลอดเวลาว่าต้องทำให้ได้...

“..ถ้าคนเรามีความปรารถนาที่ไร้เหตุผล ก็ย่อมที่จะขัดขวางความผาสุกโดยรวม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ..ยิ่งมากขึ้นไม่ได้แปลว่ายิ่งดีขึ้น..สิ่งที่ตรงข้ามคือความถูกต้องแท้จริง..อาหารมากขึ้นไม่ได้ทำให้ความสุขเพิ่มมากขึ้น มันทำให้เราแน่นท้องและคลื่นไส้..เงินที่มากขึ้นความกังวลก็ยิ่งจะเพิ่มขึ้น..หรือ  แม้แต่ แท็บเล็ตดีขึ้น ก็จะทำให้เราสับสนขึ้น และ เสียเวลามากขึ้นกับโลกเสมือนจริง”

*ความเชี่ยวชาญในการจูงใจเป็นสิ่งที่จะเป็น เหมือนการแล่นเรือในทะเลที่ปั่นป่วน เป็นกุญแจวิเศษ ที่เปิดไปสู่แดนสุขาวดี..เป็นพลังที่คนตาบอดมองเห็นในสิ่งที่มองไม่เห็น

*ที่ปักกิ่ง..ศิลปะจูงใจคนเป็นศิลปะของการทำให้ผู้อื่นเชื่อว่า..พวกเขาเกิดความคิดขึ้นเอง..ด้วยการควบคุมแรงปรารถนาและความอยาก..ผ่านการตระหนักรู้ เนื่องเพราะเราไม่อาจควบคุมสิ่งที่เราไม่รู้ตัวได้..จะคอยแต่ระแวงแรงกระตุ้นที่เกิดขึ้น../เราจึงควรฝึกควบคุมตนเองทีละน้อย รักษาระเบียบวินัย..จงควบคุมสถานการณ์ อย่าปล่อยให้สถานการณ์ควบคุมเรา../เมื่อมีความอยากใดๆก็ตาม..ให้หันเหความสนใจไปทางอื่น ..ออกไปเดินเล่น หลังจากก้าวเท้า 400 ก้าว..ความอยากจะหมดไป../เลือกคบเพื่อนแท้..เพื่อนที่ดีจะไม่นำเราไปสู่ขอบายมุข/คนเราต้องฝึกฝนการลดละ..กินน้อยลง ซื้อน้อยลง เล่นเน็ตน้อยลง ดูโทรทัศน์น้อยลง ความทุกข์เป็นผลจากการยึดติด..ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นของเราอย่างแท้จริง..การลดละจึ่งคือ..ปัจจัยสำคัญสู่ความสุข..

ดั่งที่เล่าจื๊อปราชญ์คนสำคัญของจีน ได้เคยสอนสั่งว่า.. “ในการนำผู้คน จงเดินเคียงข้างกับเขา../.ผู้เป็นยอดผู้นำ คนจะไม่รู้ว่ามีเขาอยู่/ครั้นเมื่องานของยอดผู้นำบรรลุผลสำเร็จ..ผู้คนจะพูดว่า เราทำงานนั้นด้วยตัวของเราเอง..!!!”

มาถึง..ภาวะสุดท้าย ..สู่การเน้นย้ำคำสอนที่ว่า..แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของต้นไม้..คือมีรากฝังอยู่ใต้ดิน แม้รากน่าเกลียด แต่ก็จำเป็นต่อการเติบโตเป็นต้นไม้ที่งดงาม..เราต้องการต้นไม้ที่งดงาม..ความงดงามและสุนทรียภาพ จึงเป็นปัจจัยต่อความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ..

ที่.. “โตเกียว-ญี่ปุ่น” ..ถือกันว่า.. “ความงามเป็นสิ่งจำเป็น มันเป็นความสมดุล ซึ่งเป็นที่ต้้องการของชีวิต..ที่ราบรื่น..และ จิตใจที่เบิกบาน...”

ญี่ปุ่นถือว่า..ความงามเป็นสิ่งจำเป็น..มันเป็นความสมดุล ซึ่งเป็นที่ต้องการของชีวิตที่ราบรื่นและจิตใจที่เบิกบาน..มันกระตุ้นอารมณ์ของเรา..ความงามฉบับญี่ปุ่นหยั่งรากลึกลงในความปรารถนาขั้นพื้นฐานของมนุษย์..นั่นคือ..ความสมบูรณ์แบบ..

และความต้องการสูงสุดของเราคือ..การบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบ ในทุกสิ่งที่เราทำ..ศิลปะของญี่ปุ่นให้ความสมบูรณ์แบบอย่างล้ำลึก..อย่างหาข้อตำหนิไม่ได้..

มูลเหตุสำคัญ..ที่ความงดงาม..นำไปสู่ควทมสำเร็จตามแนวคิดแบบญี่ปุ่นก็คือ..เพราะคนเราปรารถนาความสำเร็จในชีวิตเป็นพื้นฐาน จึงอยากมีชีวิตที่ราบรื่นเบิกบาน มีอารมณ์ละเมียดและเป็นสุนทรียะ..รวมทั้งหัวใจอันทรงคุณค่าแบบญี่ปุ่น อันได้แก่ความสมดุล ความกลมกลืน ความสมมาตร ความเรียบง่าย ทำให้สามารถนำประเทศสู่การเป็นภาพลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ได้อีกทาง..

“..ความงามขึ้นอยู่กับสายตาของผู้มอง..แต่ ความน่ารักหรือ “คาวาอิ” มีลักษณะเป็นสากล..ทั้งสองสิ่งเป็นสิ่งที่ขายได้.. “ปัญญาทั้ง 5 เพิ่มพลังความคิด” (5Gifts for the Mind)..ถือเป็นหนังสือที่ยืนยันถึงการเป็นขุมทรัพย์ของสมอง..ที่ไม่อาจปฏิเสธได้.. “เอรัน คัทซ์” ถือเป็นผู้สร้างสรรค์ที่อาศัยรากลึกของความเป็นชีวิต..ให้บังเกิดเป็น “สารัตถะที่เลอค่า” ต่อการเรียนรู้และฝึกหัดทดลองปฏิบัติ..ให้เข้าสู่แก่นแท้ของการรับรู้ในเชิงประจักษ์ ..กระทั่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ กับการดำเนินชีวิตของทุกๆคน..

“อรุโณทัย” แปลและเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ออกมา..อย่างเต็มไปด้วยรายละเอียดแห่งความรู้และความคิด..โดยเฉพาะการจัดวางคำถามสำคัญต่อผู้อ่านทุกคนว่า..คนเราไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติไหนก็ตาม จะสามารถลบเลือนความทรงจำจากความจริงอันเจ็บปวด..ที่ตนเองเคยประสบได้หรือไม่?..เพื่อจุดประสงค์อะไร?..และต้องทำด้วย..วิธีไหน?..!

“..ในบางครั้ง..คุณเพียงรับของขวัญที่คนมอบให้ ..รับไว้ทั้งหมด..แล้วเพียงแต่กล่าว “ขอบคุณ”......!”