สตูลปลุกพลังชุมชนสู่อุทยานธรณีโลกยั่งยืน   ปฏิวัติการท่องเที่ยว! จาก เรือหางยาว สู่ เรือไฟฟ้า 

  อุทยานธรณีโลกสตูลกำลังก้าวสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ด้วยความร่วมมือระหว่างชุมชน สถาบันการศึกษา และองค์การยูเนสโก ที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างมีคุณภาพ

 ปัจจุบัน การท่องเที่ยวในพื้นที่ประสบปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะการใช้เรือหางยาวแบบดั้งเดิมที่สร้างมลพิษทางเสียง  ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่ง

  นวัตกรรมเรือไฟฟ้า ทางออกเพื่อการท่องเที่ยวสีเขียว  โดยศูนย์พัฒนายานยนต์ไฟฟ้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมกับมูลนิธิสถาบันทรัพยากรชายฝั่งแห่งเอเชีย ได้พัฒนาเรือหางยาวไฟฟ้า ซึ่งมีประสิทธิภาพที่น่าประทับใจ  โดยสามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 85% -ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 25 เท่า - ลดต้นทุนพลังงาน 27 เท่า

   เครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชนพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง  เครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชนสตูล ประกอบด้วย 15 กลุ่มชุมชน กำลังมุ่งพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน โดยเป้าหมายสูงสุด: การท่องเที่ยวคาร์บอนเป็นศูนย์

    นายปิยทัศน  วันเพ็ญ  เลขานุการมูลนิธิสถาบันทรัพยากรชายฝั่งแห่งเอเชีย กล่าวว่า  จากเครืองยนต์สันดาป สู่การใช้เครื่องยนต์อีวี  ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะช่วยการให้ท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูลสามารถตอบโจทย์การท่องเที่ยวให้อย่างแท้จริงและยั่งยืน 

  นายอาลี  สุขสุวรรณ์  นักวิชาการส่วนสิ่งแวดล้อมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการส่วนสิ่งแวดล้อม  กล่าวว่า  ในเบื้องต้นจะมีการผลักดันให้ใช้เครื่องยนต์อีวี ในพื้นที่เป้าหมายอุทยานธรณีโลกสตูล คือ บ้านบ่อเจ็ดลูก บ้านปากบารา และบ้านหัวหิน และจะขอให้เพิ่มพื้นที่เป็น 10 จุดจากมูลนิธิสถาบันทรัพยากรชายฝั่งแห่งเอเชีย  ที่บริการท่องเที่ยวในพื้นที่ปราสาทหินพันยอด

 นายจักรกริช ติงหวัง  ประธานเครือข่ายท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดสตูล กล่าวว่า  วงการท่องเที่ยวชุมชนด้วยนวัตกรรมเรือไฟฟ้า จะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์การท่องเที่ยว เรือไฟฟ้าลำใหม่นี้มีจุดเด่นที่น่าทึ่ง โดยสามารถลดเสียงลงถึง 3 เท่าจากเรือเครื่องยนต์ทั่วไป พร้อมตอบโจทย์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสความเงียบสงบที่ลดลง  ระหว่างการล่องเรือ ควบคู่ไปกับการดูแลระบบนิเวศอย่างใกล้ชิด

 ความพิเศษอีกประการ คือ เรือสามารถวิ่งได้ต่อเนื่องนานถึง 7 ชั่วโมง โดยประสิทธิภาพไม่แตกต่างจากเรือเครื่องยนต์ธรรมดา ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน  โดยจะเริ่มใช้ในต้นปีน่านี้ในชุมชนชายฝั่งทะเลกว่า 10 แห่งในสตูลได้เริ่มนำร่องโครงการนี้   โดยมีเป้าหมายสำคัญคือจะนำเสนอความพร้อมต่อคณะกรรมการ UNESCO เพื่อคงสถานะ "อุทยานธรณีโลก" ไว้อย่างภาคภูมิใจ   การปฏิวัติครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะยกระดับการท่องเที่ยวของสตูล แต่ยังเป็นต้นแบบให้กับชุมชนอื่น ๆ ในการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืนอีกด้วย

   โครงการนี้มุ่งสู่การพัฒนา "สตูลจีโอปาร์คซีโร่" (Satun Geopark Zero CBT) เพื่อสร้างแบบอย่างการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง 

นวัตกรรมเรือไฟฟ้าไม่เพียงแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวชุมชนให้ก้าวสู่สากล สะท้อนถึงศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของชุมชนสตูลในการพัฒนาอย่างยั่งยืน