พร้อมพงศ์ จวกกลุ่มสนธิคลั่งชาติจนขาดสติ แนะให้ใช้เวทีรัฐสภาตรวจสอบเอ็มโอยู44 หยุดสร้างอนาธิปไตยในบ้านเมือง อย่ามารักประเทศตอนพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล 'ดนุพร' ระบุปมเอ็มโอยู44 หากฝ่ายค้านมีข้อมูลเชิงลึกจริง ประชุมลับน่าจะเป็นประโยชน์กว่า ลั่นไม่กังวลเปิดเวทีซักฟอก

        
 เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.67 นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตร จะไปยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ 9 ธ.ค.กรณีเอ็มโอยู44 โดยอ้างว่าจะเสียดินแดนให้ประเทศกัมพูชา พร้อมขู่ว่าจะนำม็อบลงถนน ว่า เท่าที่ดูเหมือนจะเหลือแค่คนแค่กลุ่มเดียวที่คลั่งชาติจนขาดสติ แยกผลดีผลเสียไม่ออก รัฐบาลกำลังทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่กลุ่มของนายสนธิที่คงเหลือเพียงกลุ่มเดียว กลับเอาแต่ชอบเตะตัด สกัดขัดขวาง ทำทุกอย่างเพื่อจับผิด ด้วยความอคติ จิตใจคับแคบ ค้านตะบัน ไม่เคยมีข้อเสนอหรือแนวทางสร้างสรรค์อะไรเลย ตนอยากรู้ว่าใจทำด้วยอะไร สงสัยอยู่ว่ากำลังทำเพื่อใคร เท่าที่ตนเห็นก็มีแต่เจตนาที่ไม่ดี หากคล้อยตามคนเหล่านี้บ้านเมืองคงถอยหลังไปไกล แต่โชคดีที่วันนี้คนเขาตื่นรู้หมดแล้ว อยากฝากไปถึงนายสนธิหากนำม็อบลงถนนจริงแล้วไม่มีคนหรือมีคนน้อย ยังไงก็อย่าอ้างว่าโดนอำนาจรัฐหรือใครสกัดกั้นก็แล้วกัน
        
 ประเทศไทยมีระบบรัฐสภามี ส.ส. , สว. เป็นผู้แทนปวงชน บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่เป็นอนาธิปไตยหรือคณาธิปไตย บรรยากาศทางการเมืองตอนนี้กำลังเป็นไปด้วยดี รัฐบาลเดินหน้าทำงานเข้าปีที่สอง สภาจะเปิดสมัยประชุมวันที่ 12 ธ.ค. สส., สว. ต้องทำงาน กรรมาธิการชุดต่างๆ ก็มี นายสนธิควรใช้ช่องทางสภาให้ตรวจสอบเรื่องเหล่านี้จะดีกว่าไหม ก็ในเมื่อเรื่อง MOU44 หากเมื่อมีการเจรจาก็ต้องมาผ่านกระบวนการของสภา ต้องให้รัฐสภาตรวจสอบหรือให้ความเห็นชอบอยู่แล้ว นายสนธิอยากเสนอแนะท้วงติงอะไรก็สามารถทำได้เต็มที่ ผู้ที่เกี่ยวข้องก็พร้อมจะตอบคำถามกันอยู่แล้ว ทุกคนทำงานบนหลักพื้นฐานเพื่อผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก นายสนธิทำตัวเหมือนกำลังอยู่ในสังคมอนาธิปไตย เหมือนน่าจะกระหายสงคราม รัฐบาลที่ผ่านมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา เราทำมาค้าขายกันฉันมิตร ไม่ได้มองเป็นศัตรูอย่างที่นายสนธิกำลังทำอยู่ ตนเชื่อว่านายกฯ แพทองธาร และ ครม. ชุดนี้ใจกว้างยอมรับการตรวจสอบจากทุกภาคส่วนรวมถึงนายสนธิด้วย รัฐบาลทำงานภายใต้รัฐธรรมนูญ
        
 นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า นายสนธิก็ควรทำด้วยเช่นกัน เลิกทำตัวเป็นศาลเตี้ยเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่ คิดว่าตัวเองถูกเสมอ ตัดสินคนนี้ผิด ชี้หน้าคนนั้นโกงแบบไม่เคารพกฎหมาย รัฐบาลก่อนหน้าอยู่ตั้งนานไม่เห็นนายสนธิออกมาทำอะไรกับ MOU44 อ้างว่ารักประเทศตนก็พอจะเข้าใจ แต่จะมารักอะไรเฉพาะเจาะจงในเวลาที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็ไม่รู้ ตนเองก็ขอตั้งเป็นคำถาม นายสนธิเองก็อายุมากแล้ว ผ่านอะไรมาก็พอสมควร บ้านก็เคยอยู่เรือนจำก็เคยนอน สิ่งต่างๆ เหล่านี้กลับไม่ทำให้นายสนธิเปลี่ยนไปเลย ตนอยากให้นายสนธิได้พักบ้าง อย่าจำเพราะจงใจเปิดประเด็นเอาแต่กับรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำนักเลย เข้าวัดฟังธรรมปล่อยให้รัฐบาลได้ทำงานเพื่อประชาชนบ้างเถอะ
 
นายดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคฝ่ายค้านเตรียมรวบรวมข้อมูลไว้สำหรับการอภิปรายรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องเอ็มโอยู 44 ว่า พรรคเพื่อไทยก็มีการพูดคุยกันเรื่องนี้ แต่ก็เห็นว่าพรรคฝ่ายค้านอยากให้ใช้อำนาจของผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเสนออภิปรายให้เป็นการประชุมลับ เพราะมีผลกระทบกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องรับฟัง ส่วนจะเป็นการอภิปรายแบบใดนั้น เมื่อเปิดสมัยประชุมแล้ว นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร คงจะมีการนัดประธานวิปรัฐบาล ประธานวิปฝ่ายค้าน และผู้นำฝ่ายค้านฯ มาพูดคุยกันว่าสุดท้ายแล้วจะมีข้อสรุปอย่างไร
       
พรรคเพื่อไทยรับฟังทุกความคิดเห็นของทุกคนที่เป็นห่วง บางคนก็บอกให้ไปขึ้นโรงขึ้นศาลให้เขาตีความ ซึ่งก็เป็นความเห็นของท่าน แต่เราก็ต้องมีการนำมาปรึกษาทีมกฎหมายของพรรค และทำเรื่องนี้ด้วยความรอบคอบ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับผู้นำฝ่ายค้านฯ ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ฉะนั้น การพูดคุยกันในสภา จึงควรพูดคุยกันด้วยความระมัดระวัง และหากฝ่ายค้านมีข้อมูลเชิงลึกจริง การประชุมลับ น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า 
        
 ผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่ว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายแบบใด รัฐบาลก็พร้อมใช่หรือไม่ นายดนุพร กล่าวว่า ไม่มีปัญหาอะไรเลย และการอภิปรายเช่นนี้ หากที่มีการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ ก็จะยิ่งเป็นเรื่องดี เพราะไม่ใช่ว่าฝ่ายค้านจะกล่าวหาได้ฝ่ายเดียว แต่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็มีสิทธิที่จะชี้แจงและพร้อมที่จะตอบคำถามด้วย ซึ่งทางพรรค พท. และพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้กังวลในเรื่องนี้ เพราะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว