คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
ตลอดระยะเวลาของการชูธงรณรงค์หาเสียง “ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” มักจะกล่าวแบบซ้ำๆย้ำๆว่า “นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ข้าพเจ้าก้าวขาเข้าสู่ทำเนียบขาว ข้าพเจ้าจะดำเนินการหลายๆอย่าง เพื่อปกป้องประเทศ”
เนื่องจากปีค.ศ. 2025 ที่กำลังจะมาถึงนี้ เมื่อมองๆไปแล้วอาจจะเป็นปีแห่งความวุ่นวายทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วทุกมุมโลก และถึงแม้ว่าว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นก็ตาม แต่ทว่าชาวอเมริกันก็คงจะต้องเฝ้าติดตามดูกันว่า เขาสามารถรักษาคำมั่นสัญญาจากเมื่อครั้งหาเสียงได้มากน้อยเพียงไร!!!
เนื่องจากนโยบายทั้งด้านภายในประเทศและนโยบายด้านการต่างประเทศที่เขาชูธงเสนอออกมาที่มี เช่น
ประเด็นแรก: ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะปิดพรมแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโก และจากสถิติของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรล่าสุดนี้ได้ออกมาระบุว่า ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาปรากฏว่ามีชาวต่างชาติเดินทางผ่านชายแดนเม็กซิโกมุ่งหน้าสู่สหรัฐอเมริกาแล้วราวกว่า 10.8 ล้านคน
ประเด็นที่สอง: การที่ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ชูธงอย่างแข็งขันในนโยบายที่ว่า จะเนรเทศผู้ที่อยู่ในสหรัฐฯแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยประเมินกันว่า ผู้ที่อยู่แบบผิดกฎหมายมีมากกว่า 12 ล้านคน ที่รวมไปถึงเด็กๆเยาวชนที่อพยพติดตามพ่อแม่เข้าสู่สหรัฐฯแบบผิดกฎหมาย โดยเยาวชนเด็กๆไม่ว่าจะตาสีดำ สีน้ำตาล สีเขียว สีฟ้าเหล่านั้นไม่รู้อีโหน่อีเหน่ว่า ภูมิลำเนาเดิมของพวกเขาอยู่ที่ไหน เพราะเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯตั้งแต่ในเยาว์วัย แถมบางคนโตจนทำงานยึดอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่งแล้วอีกด้วย!!!
และยังมีการประเมินกันว่า รัฐบาลของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากมายมหาศาลสืบเนื่องมาจากต้องใช้ในการจับกุมและกักตัวผู้ที่อยู่อย่างผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการของรัฐบาลว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ อาจจะถูกต่อต้านทั้งจากฝ่ายค้านและจากวงการธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคเกษตรกรรม การก่อสร้าง
จาก “องค์กรปกป้องและรักษาสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล” ที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายของสหรัฐอเมริกา (American Civil Liberties Union หรือเรียกสั้นๆว่า ACLU) คุ้มครอง โดยองค์กรนี้ก่อตั้งมานานกว่า 100 ปี และยังเป็นองค์กรเก่าแก่ที่มีอิทธิพลสูงมาก โดยองค์กรนี้อาจจะเป็นตัวหลักสำคัญในการที่จะออกมาต่อต้านรัฐบาลของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์
เป็นที่แน่นอนว่า ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะต้องออกกฎหมายฉุกเฉินขึ้นมาหลายๆฉบับ ที่จะต้องได้รับการสนับสนุนจากสภาคองเกรส
และเนื่องจากว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับคะแนนนิยมอย่างท่วมท้น แถม “ประธานสภาฯไมค์ จอห์นสัน” ยังเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์อนุรักษ์นิยมตามแนวทางเดียวกันกับว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ย่อมจะทำให้การออกกฎหมายฉุกเฉินต่างๆสามารถทำได้แบบสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น!!!
แต่อย่างไรก็ตามว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงผลกระทบทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอีกสองปีข้างหน้า ที่จะมีการเลือกตั้งกลางสมัย และจะต้องมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนฯใหม่หมดทั้ง 435 คน ที่จะเป็นตัวส่งผลสะท้อนและอาจจะส่งผลกระทบต่อผลงานของเขาในสองปีแรกให้เห็นว่า เขาสามารถจะรักษาเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรได้หรือไม่
ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะส่งผลกระทบต่อพี่น้องชาวไทยที่พำนักอาศัยอย่างผิดกฎหมายในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน และย่อมจะเป็นการเพิ่มภาระให้กระทรวงต่างประเทศของไทยตามมาอีกด้วย
ด้านการต่างประเทศของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ในช่วงหนึ่งร้อยวันแรกนั้น เราจะต้องมองตรงไปที่การทำงานของ รัฐมนตรีฯต่างประเทศ รัฐมนตรีฯกลาโหม และ ผู้อำนวยการเอฟบีไอคนใหม่ ซึ่งกระทรวงและองค์กรทั้งหมดที่กล่าวมาจะมีส่วนในการกำหนดนโยบายด้านต่างประเทศ และ เนื่องจากว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์มีเป้าหมายหลักต้องการที่จะสร้างผลงานชิ้น โบแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยุติสงครามยูเครน ซึ่งคาดการณ์กันว่า ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะเจรจากดดันต่อ “ประธานาธิบดีวโลดิมีร์ เซเลนสกี” แห่งยูเครน และกดดันต่อ “ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน” ของรัสเซียให้ยุติสงคราม โดยอาจจะต้องให้ฝ่ายยูเครนยอมสละดินแดนที่ฝ่ายรัสเซียยึดมาได้จากสงครามแล้ว ให้ตกไปเป็นของรัสเซีย เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับเอกราชที่ยูเครนจะรักษาเอาไว้
สำหรับนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่จะมีต่อจีนนั้น ก็มีแนวโน้มว่าว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเป็นฝ่ายรุกต่อจีน โดยว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แต่งตั้งให้ “วุฒิสมาชิกมาร์โก รูบิโอ” เข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ
อนึ่งที่ผ่านมา วุฒิสมาชิกมาร์โก รูบิโอ เคยเป็นศัตรูทางการเมืองของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ทั้งคู่เคยลงแข่งขันในตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 แต่ปรากฏว่าวุฒิสมาชิกมาร์โก รูบิโอ พ่ายแพ้การเลือกตั้ง แต่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกัน ทั้งสองนักการเมืองต่างก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยพึ่งพาต่อกันจนตราบเท่าทุกวันนี้
ส่วนประวัติของวุฒิสมาชิกมาร์โก รูบิโอ มาจากครอบครัวที่มีเชื้อสายชาวลาติน ที่คุณพ่อของเขาต้องอพยพลี้ภัยจากฟิเดล คาสโตร มาตั้งรกรากอยู่ลาสเวกัส ยึดอาชีพบาร์เทนเนอร์ ส่วนคุณแม่ของเขายึดอาชีพแม่บ้านทำความสะอาดในโรงแรม
ต่อมาครอบครัวของมาร์โก รูบิโอ ได้โยกย้ายถิ่นฐานไปยังรัฐฟลอริดา โดยเขาเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีที่ “มหาวิทยาลัยฟลอริดาสเตท” และเรียนต่อกฎหมาย ณ “มหาวิทยาลัยไมอามี”
ทั้งนี้มาร์โก รูบิโอ เริ่นต้นการเมืองด้วยการได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสภาชิกผู้แทนฯของรัฐฟลอริดา และต่อมาเขาก็ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง “ประธานสภานิติบัญญัติ” รัฐฟลอริดา
และในที่สุด มาร์โก มารูโอ ก็ได้รับเลือกในตำแหน่งวุฒิสมาชิกเมื่อปีค.ศ. 2010 โดยเขาสามารถสร้างชื่อเสียงทางด้านการต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เขาออกมาต่อต้านจีนอย่างแข็งขัน และให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างเต็มที่
อีกทั้งเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้แต่งตั้งให้ “แคช เพเทล” เข้ามารับตำแหน่ง ผู้อำนวยองค์กรเอฟบีไอ โดยเขาจะปลดผู้อำนวยการคนปัจจุบันออก ทั้งๆที่ผู้อำนวยการของซีไอเอคนเก่ายังมีอายุราชการเหลืออีกสามปี
สำหรับ “พีท เฮกเสธ” ผู้ประกาศข่าวและผู้ดำเนินรายการแห่ง“สถานีโทรทัศน์ช่องฟอกซ์นิวส์” ซึ่งเคยรับราชการเป็นทหารผ่านศึกจากสงครามอิรักและสงครามอัฟกานิสถานมาแล้ว โดยที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ผู้ประกาศข่าวคนนี้เป็นกระบอกเสียงอย่างจงรักภักดีต่อว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์มาอย่างยาวนาน
โดยว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์แต่งตั้งให้ผู้สื่อข่าวคนนี้เข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีฯกลาโหม ซึ่งเขาคงจะต้องถูกต่อต้านอย่างหนักจากวุฒิสมาชิกของค่ายพรรคเดโมแครตอย่างแน่นอน สืบเนื่องมาจากประสบการณ์ด้านทหารของเขามีค่อนข้างจำกัด!!!
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นในหนึ่งร้อยวันแรกของ “ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เขาป่าวประกาศว่า จะเนรเทศคนต่างชาติเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะสร้างความสับสนวุ่นวายและอาจจะต้องเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายอย่างมากมายทั้งทางด้านกฎหมายและด้านปฏิบัติการ รวมไปถึงด้านการเมือง ส่วนเรื่องการยุติสงครามยูเครนที่ดำเนินมาอย่างยาวนานยืดเยื้อก็ขออวยพรให้เขาทำได้เป็นผลสำเร็จ สงครามจะได้ยุติลงเสียทีละครับ