วันที่ 6 ธ.ค.67 นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ระบุว่า...
3 เรื่องที่รัฐบาลจะปากพล่อยไม่ได้โดยเด็ดขาด
ในการบริหารบ้านเมืองนั้นแม้รัฐบาลมีหน้าที่ต้องชี้แจงแถลงไข ให้ประชาชนได้รับทราบความเป็นไปในบ้านเมืองอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่ก็มีคติ อันหนักแน่นว่ามี 3 เรื่องที่รัฐบาลจะเปิดเผยออกมาก่อนไม่ได้โดยเด็ดขาดเพราะจะเกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างใหญ่หลวง
3 เรื่องนี้คือ
1 การประกาศสงครามกับชาติใดชาติหนึ่ง
2 การปรับหรือลดค่าเงินบาท 3 การขึ้นหรือลดอัตราภาษี
เพราะทั้ง 3 เรื่องนี้มีประโยชน์ได้เสีย ทั้งต่อประเทศชาติและผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้อง และเพื่อป้องกันไม่ให้นักการเมือง เอาข่าวคราวเรื่องนี้ไปตีกินหาประโยชน์จากพ่อค้านักธุรกิจ แต่ปรากฏว่าล่าสุดนี้ มีรัฐมนตรีบางคน ได้กล่าวต่อสาธารณะว่า จะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็น 15% เพราะอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บอยู่ในปัจจุบันนี้ ยังต่ำกว่าหลายประเทศ และในที่สุดก็สรุปว่า นี่เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น จะเป็นจริงหรือไม่ก็ต้องรอการพิจารณาต่อไป
นี่ก็ถือได้ว่าเป็นการปากพร่อยอย่างหนึ่งและเป็นการละเมิดข้อปฏิบัติ ที่อาจเกิดข้อได้เสียหรือเกิดความเสียหายแก่รัฐและประชาชนได้ เข้าลักษณะปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน
ในฐานะประชาชนผู้เสียภาษีก็ต้องคัดค้านอย่างหนักหน่วงว่า ไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้เลยเพราะ
1 ประเทศไทยเป็นประเทศที่แปลกประหลาดคือจัดเก็บภาษีทั้ง 2 ข้าง คือเมื่อมีเงินได้ก็เก็บภาษีเงินได้ ครั้นเอาเงินได้นั้นไปจับจ่ายใช้สอยก็เก็บภาษีจากการจ่ายอีก เรียกว่าเก็บราบเก็บเรียบจนประชาชนอ่วมอรทัยตามๆกัน 2 ที่อ้างว่า ประเทศไทยยังเก็บอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มต่ำกว่าหลายประเทศนั้น เป็นการพูดไม่หมดเข้าลักษณะหลอกลวง บางประเทศที่มีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าไทยนั้น เขาเก็บขาเดียวคือเก็บขาจ่าย เวลามีเงินได้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เขาเก็บแต่ด้านจ่าย คือเอาเงินได้ไปจ่ายเมื่อใดก็เก็บภาษีเมื่อนั้น แต่ของ ไทยเราเก็บทั้งรับทั้งจ่าย ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่ผู้เสียภาษี
3 ปัจจุบันนี้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจย่ำแย่ โรงงานปิดกิจการกันเป็นคิวแถวผู้คนรายได้ไม่พอจ่าย ถ้าขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 15% ราคาสินค้าและบริการทั้งหลาย ก็จะต้องขึ้นไปอย่างน้อย 15% แต่นิสัยพ่อค้ามีหรือที่จะ ขึ้นราคาสินค้าเท่าจำนวนภาษีที่ต้องเก็บเพิ่ม เขามีแต่จะขายสินค้าในราคาสูงขึ้นไปอีก อย่างน้อยก็ต้องเป็น 25% เท่ากับเพิ่มค่าครองชีพให้ประชาชนอีก 25% สุดท้าย ิบหายขายตัวกันทั้งประเทศสิครับ
4 เหตุที่พวกนักการเมืองจะขึ้นภาษีก็เพราะว่า มีรายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย และไม่สามารถกู้เงินมาชดเชยงบประมาณได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงหาหนทางโขกภาษีเอากับประชาชน ซึ่งไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงเพราะมีทางอื่นที่ดีกว่านี้ นั่นคือการลดรายจ่ายซึ่งกรมบัญชีกลางเคยท้วงมาแล้วว่า รายจ่ายสูงสุดของแผ่นดินคือรายจ่ายค่าเงินเดือน ข้าราชการซึ่งมีมากเกินความจำเป็น เทียบกับสหรัฐ ประชากร 300 ล้านคน มีข้าราชการและทหารรวมกันแค่ 3 ล้านคน ประเทศไทยมีประชากรไม่ถึง 70 ล้านคน แต่มีข้าราชการรวมกันถึง 4 ล้านคน ยังไม่รวมพวกลูกจ้างชั่วคราวหรือพวกที่แอบแฝงจ้างในรูปแบบต่างๆอีกเกือบ 5 แสนคน จึงต้องจ่ายเงินเดือนค่าจ้างและอื่นๆอีกมากมาย จนประเทศชาติแบกรับไม่ไหวแล้วเพราะพวกข้าราชการวันๆคิดแต่จะเพิ่มอัตราพนักงานเพิ่มตำแหน่งงานและเพิ่มเบี้ยเลี้ยงค่าใช้จ่ายสารพัด จนคนไทยทั้งประเทศไม่สามารถเอาหัวไปแบกภาระกิจอันนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ทางแก้ไขจึงต้องลดรายจ่ายดังกล่าวลง นั่นคือโดยการปฏิรูประบบราชการและการปกครองเพื่อลดจำนวนข้าราชการและลูกจ้างลงเพื่อไม่ให้ประชาชนต้องแบกรับภาระมากเกินไปเหมือนทุกวันนี้ ถ้าไม่ทำแบบนี้ฉิบหายแน่ไอ้เถรเอ๊ย