ในช่วงเวลานี้ แฟนบอลทีมไหน คงไม่มีใครสุขใจเท่ากับ “แฟนหงส์แดง” ลิเวอร์พูล หลังเกมล่าสุด พวกพี่ๆ เก็บชัยชนะเหนือ “แชมป์เก่า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปแบบหมดรูป 2-0 คาสนาม แอนฟิลด์ ในเกม พรีเมียร์ลีก ทำให้ลูกทีมของกุนซือ “อาร์เน สลอต” มีแต้มนำเป็นจ่าฝูง เหนืออันดับ 2 อย่าง “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล และ เชลซี ถึง 9 แต้ม รวมทั้งทิ้งห่าง “เรือใบสีฟ้า” ของ “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” ถึง 11 แต้ม ต้องหล่นไปอยู่อันดับ 5 ในตารางคะแนนเรียบร้อยแล้ว
ผลการแข่งขันนัดนี้ยังทำให้ “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” ไม่สามารถสะกดคำว่า “ชนะ” เป็นเกมที่ 7 ติดต่อกันรวมทุกรายการ และยังเป็นการแพ้ 4 นัดรวดในพรีเมียร์ลีก
สวนทางกลับ “หงส์แดง” ที่การคว้าชัยชนะ ในเกมล่าสุด ทำให้ “สลอต” ในวัย 46 ปี สร้างสถิติเก็บไป 34 แต้ม มากที่สุดในฐานะกุนซือที่คุมทีม 13 เกมแรกใน “พรีเมียร์ลีก” เทียบเท่ากับ “กุส ฮิดดิ้งค์” เทรนเนอร์รุ่นพี่ร่วมชาติชาวดัตช์ ที่เคยทำไว้กับ “เชลซี” ในกลางฤดูกาลปี 2008-09
“สลอต” กล่าวหลังจบเกมว่า “มันเป็นตำแหน่งที่ดีที่เราได้มาอยู่ตรงนี้ (จ่าฝูง) พวกคุณรู้ดีกว่าผมว่าทีมอย่าง อาร์เซน่อล และ แมนฯ ซิตี้ สามารถชนะทุกเกมตั้งแต่ตอนนี้จนถึงสิ้นสุดฤดูกาล เชลซี ก็สามารถเก็บชัยชนะได้ทุกเกม เช่นกัน”
“มันทำให้ พรีเมียร์ลีก น่าสนใจมาก เพราะที่นี่มีทีมดี ๆ มากมาย ฤดูกาลที่แล้วคะแนนระหว่าง อาร์เซนอล กับ ซิตี้ แตกต่างกันมากระหว่างซีซั่น แต่พวกเขา (ซิตี้) ยังสามารถกลับมาได้”
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีเพียง 2 สโมสรเท่านั้น ที่ทีมนำเป็นจ่าฝูง “พรีเมียร์ลีก” เหนืออันดับที่สอง 9 แต้ม หลังผ่านไป 13 เกม คือ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 1993-94 และ เชลซี ในฤดูกาล 2005-06 ซึ่งทั้งสองทีม ก็สามารถคว้าแชมป์ได้ทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ก็มีเพียง 3 ทีมเท่านั้น ที่เคยคว้าแชมป์ “พรีเมียร์ลีก” ได้หลังจากตามหลังจ่าฝูง 11 แต้มขึ้นไป คือ “อาร์เซน่อล” ในปี 1997-98 และ “แมนฯ ยูไนเต็ด” ในปี 1992-93 และ 1995-96 และหากพิจารณาฟอร์มของ “ลิเวอร์พูล” ในปัจจุบันก็ดูเสียเหลือเกิน ที่จะพลาดการคว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้ รวมถึง “แมนฯ ซิตี้” เองก็ยังไม่อยู่ในฟอร์มที่จะกลับมาไล่กวดได้ทัน
“ลิเวอร์พูล” ในยุคของ “สลอต” เล่นแบบไดเรกต์มากขึ้น ซึ่งตัวเลข ได้บ่งชี้ชัดเจนว่าพวกเขาวางบอลยาวถึง 14.8 % เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของฤดูกาลก่อนที่ 9.1%
และต้องยอมรับว่า ผลงานอันไร้ที่ติในตอนนี้ของ “ลิเวอร์พูล” ที่นำจ่าฝูง แม้ว่า ศึกพรีเมียร์ลีก ยังไปไม่ถึงกลางทาง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า หาก “หงส์แดง” ยังรักษาฟอร์มแบบนี้ต่อไป แชมป์สมัยที่ 2 ก็คงไม่ตกไปไหน เพราะทีมที่ตามหลังก็ดันฟอร์มไม่คงเส้นคงวาด้วย