ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“...คนเราทุกคน..ล้วนมีเกราะอันแข็งแกร่งไว้ป้องกันตัวตนจากการบุกรุกเข้ามาครอบครองจิตวิญญาณด้านลึกอันมีค่ามีศักดิ์ศรีของตนโดยผู้อื่น..มันคือมิติแห่ง..สัญชาตญาณที่แผ่กว้างอยู่กับธารสำนึกอันยากจะแก้ไขหรือทุบทำลายอคติดังกล่าวนี้ลง..แต่ถึงกระนั้นโลกก็ยังมีศาสตร์บางศาสตร์ที่สามารถปรับแปลงข้อยึดเหนี่ยวข้างต้น...ให้กลายเป็นความปลดปล่อยอันสมบูรณ์ ดั่งการชักใยความจริงในความจริง...กระทั่งหลุดพ้นจากความลวงเหนือความลวงใดๆ...เมื่อคนเราทุกคนมีเกราะกำบังตนเอง..การใช้วิธีทำลายเกราะป้องกันของผู้อื่นอย่างนุ่มด้วยความเข้าใจในกันและกัน..เพื่อสร้างความสบายใจจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง...ที่จะทำการดำรงอยู่ในโลกนี้ของมนุษย์เราเป็นไปอย่างสมดุลและลงตัว..หลักการณ์นี้คล้ายดั่งศาสตร์มืดอันลึกลับ...ที่ทำให้แต่ละชีวิตได้สัมผัสและค้นพบเหตุแห่งปัจจัยนานา..ที่เป็นกระบวนการอันทบซ้อนของชีวิตจนคุ้นชิน..จนสามารถที่จะดำเนินชีวิต..อยู่ด้วยกัน..ในท้ายที่สุด..”
..นี่คือ..วิจารณญาณที่ได้รับจากหนังสือจิตวิทยาที่..กระตุ้นเตือนและย้อมชีวิตมนุษย์จนได้พบกับปรากฏการณ์อันผิดแปลกและล้ำค้าของชีวิตเในด้านในอันสลับซับซ้อนของใจตัวเอง..
“ศาสตร์มืดแห่งการชักใยคน"..ถือเป็นหนังสือที่ก่อผัสสะต่อการรับรู้ อย่างกระตุกเร้า และกระตุ้นเตือนให้ชีวิต..ได้ขยับขึ้นไปอยู่เหนือสถานการณ์และแสดงปฏิกิริยาต่างๆนานาออกมาอย่างไม่จบสิ้น..มันคือภาพแสดงของตัวตนที่แท้..ที่ฝังลึกอยู่กับโลกอันตื่นรู้และลึกเร้นของคนเราทุกคน...อะไรคือศาสตร์มืด..อย่างไรคือการชักใย..มีเพียงคนที่ตกอยู่บ่วงเกมแห่งชะตากรรมอันซ้อนซับดั่งนี้เท่านั้น..ที่รู้..
“การสื่อสารไม่ใช่แค่เรื่องของภาษา แต่มันเป็นเรื่องของจิตวิทยา..ดังนั้น การจะชักคนได้ จึงจำเป็นต้องใช้เทคนิคของจิตวิทยา..ทั้งที่มีการกำหนดเทคนิคทางจิตวิญญาณอย่างแพร่หลาย..แต่ทำไมคนส่วนใหญ่ยังนำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้..นั่นก็เป็นเพราะว่า.."เราต่างยังไม่สามารถพังทลายเกราะป้องกันใจของผู้อื่น..ได้นั่นเอง.!!!.”
“เกราะป้องกันใจ"หมายถึง"ความระเเวดระวัง"ที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่ไม่รู้ตัว..และสิ่งนี้เปรียบเสมือนกลอนที่ลงล็อก.. “ ประตูหัวใจ” และปกป้องมันไว้จากคนอื่น..
ดังนั้น..เมื่ออีกฝ่ายอยู่ในภาวะป้องกันตัว..ไม่ว่าเราจะพูดอะไรก็ตาม..ก็จะไม่มีใครฟังหรือเชื่อเรา..แต่ในทางกลับกัน..ว่ากันว่าคนที่ “คนรอบข้างชื่นชอบ”..คนที่เก่งเรื่องการขาย คนที่ใครๆก็คลั่งไคล้ คนที่โน้มน้าวใจผู้อื่นเก่ง คนที่มีวาทศิลป์ในการพูด..
คนเหล่านี้..จะมีความสามารถในการทำลาย"เกราะป้องกันใจ"ของอีกฝ่าย..ที่ได้สร้างขึ้น และ เข้าถึงหัวใจได้..การควบคุมจิตใจ และการกระทำของอีกฝ่ายจะเป็นเรื่องง่าย และ เทคนิคการสลายเกราะป้องกันใจ จึงเป็นหัวใจสำคัญแห่งการเรียนรู้ของหนังสือเล่มนี้โดยรวมทั้งหมด ซึ่งไม่เคยมีใครเปิดเผยมาก่อน..
“ถ้าเราทลายเกราะป้องกัน แล้วเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของผู้อื่นได้..ทุกสิ่งจะเป็นไปตามที่เราปรารถนาอย่างแท้จริง..
"การสื่อสารไม่ใช่เรื่องของภาษา..แต่เป็นเรื่องของจิตวิทยา..ซึ่งจิตวิทยานั้นสามารถทำให้คนเรา..มีความสุขได้..แต่ถ้าเกิดใช้ผิดขึ้นมาเมื่อใด ..ก็สามารถที่จะทำร้ายเราได้เช่นกัน..!”
ในอีกด้านหนึ่ง...หนังสือเล่มนี้สร้างภาวะสำนึกให้เราได้ประจักษ์ถึงว่าความระเเวดระวังอาจจะช่วยปกป้องเรา พอๆกับที่อาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางความสำเร็จของเราด้วยเช่นเดียวกัน..ครั้นเมื่อความรู้สึกระเเวดระวังคลายจางลง เราก็จะเชื่อใจในอีกฝ่ายโดยปราศจากเงื่อนไข..และ..หากเมื่อใดก็ตามที่เราลด “เกราะป้องกันใจ” ได้..เราก็จะสามารถเปลี่ยนชีวิตของผู้อื่นได้เลย..และยิ่งถ้าเราควบคุมความรู้สึกระแวดระวังของเราได้..เราก็จะสามารถควบคุมชีวิตของเราได้เช่นกัน..
“คนเรามีความมุ่งมั่นแตกต่างกัน..อย่างกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องกำหนดภาพในหัวให้ชัดเจน..ไม่คลุมเครือ..”
จริงๆแล้ว...การสื่อสารไม่ใช่เรื่องของภาษาแต่เป็นเรื่องของจิตวิทยา..โครงสร้างหลักโดยรวมของหนังสือเล่มนี้ยืนยันไว้เช่นนั้น ..โดยถ้าเรายอมเปิดใจ เราก็จะไม่อยากฟังความคิดเห็นของคนอื่น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องของความถูกต้องก็ตาม..และจะมีอยู่หลายครั้งที่เราจะรู้สึกถึงขนาดต่อต้านด้วยซ้ำ..
นั่นแสดงถึงว่า..ความประทับใจใดๆนั้น..จะถูกกำหนดด้วยข้อมูลที่เห็นด้วยตา55เปอร์เซ็นต์/ฟังด้วยหู 38 เปอร์เซ็นต์/และด้วยคำพูดที่พูดออกมาเพียง 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น..สถิตินี้เป็นไปตามกฎ “เมห์ราเบียน” (Mehrabian) ที่คิดค้นโดย ดร.อัลเบิร์ต เมห์ราเบียน..นักจิตวิทยาด้านพฤติกรรม ที่ได้วิจัยว่าด้วยเรื่อง “ภาษากาย”
... “คนทั่วไปส่วนใหญ่จะดีใจ ..ที่มีคนใส่ใจในตัวเขา”
...แม้ตามกฎเมห์ราเบียน..กับการพูดไม่มากนักเพียง7เปอร์เซ็นต์..แต่การพูดก็ถือเป็นพลังของการสื่อสารที่ลึกล้ำเสมอระหว่างชีวิตต่อชีวิต ที่ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับมนุษย์..เพราะคนเราจะเปิดใจในทุกครั้งแก่คนที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย..คือภาวะรู้สึกที่ว่า “อยู่กับคนนี้แล้วมีความสุข”
..แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการสื่อสาร ..คือใครที่เป็นคนพูด..พูดเรื่องอะไร มีวัตถุประสงค์เช่นไร..และ..สื่อสารด้วยความตั้งใจอย่างไร...ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดในประเด็นนี้..คือใครเป็นคนพูด..รองลงมาก็คือว่า.. “พูดเรื่องอะไร”
..เราควรจะต้องพูด..เรื่องที่เราคาดว่า อีกฝ่ายจะกังวลออกไปก่อน เช่นคำว่า “ผมก็เคยรู้สึกแบบนี้” ..มันจะทำให้เรากลายเป็นพวกพ้องเดียวกันกับคู่สนทนา.. เหตุนี้..จึงจำเป็นที่จะต้องพูด..ในสิ่งที่เรารู้สึกว่า..อีกฝ่ายกำลังคิดอยู่..และ..แสดงออกว่า..เราได้กลายเป็นพวกพ้องเดียวกัน รวมถึงมันจะสร้างความคุ้นเคยได้ด้วย.. เราพูดเรื่องส่วนตัวแต่มันก็ไม่ใช่การจงใจเล่าเรื่องตัวเอง..แต่มันเป็นความต้องการให้อีกฝ่าย เล่าเรื่องของเขาออกมาได้ง่ายขึ้น..
“อยากสนิทกับคนอื่นได้เร็ว..ให้แสดงออกว่า..เราสนิทกันตั้งแต่แรกแล้ว..”
โดยสรุป..หนังสือเล่มนี้ได้เน้นย้ำกับทุกๆคนที่มีโอกาสได้สัมผัสว่า..ประเด็นความคิดโดยรวมทั้งหมดคือ..สาระแห่งการหลุดจากกับดักของวงจรเก่าๆในชีวิตออกมาสู่โลกกว้างของสำนึกรู้..เนื่องเพราะการพยายามหาช่องทางใหม่ๆ..จักช่วยให้เราสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดออกมาได้..
ดั่งนั้น..การที่เราแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาในทุกครั้ง..จึงดีกว่าการพยายามแสดงตัวตนว่า รู้มากกว่าใคร เช่นเดียวกับว่า..การเปิดใจในทุกๆครั้ง..จะช่วยให้เราได้พบกับสิ่งใหม่ๆ..และการเพิ่มเวลาของตัวเองให้กับการคิดในชีวิต..ตลอดจนการให้เวลาตัวเองได้มีโอกาสคิดหาวิธีใหม่ๆ..ก็ส่งผลต่อการพัฒนาตัวเองอย่างมีค่ายิ่งๆขึ้น..
“การเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ..ย่อมช่วยให้เราได้พบมุมมองใหม่ๆของชีวิต..เสมอ.ตลอดไป.”
“ดร.ฮีโระ” (Dr Hero)..ผู้เขียนหนังสือจิตวิทยา สร้างแรงบันดาลใจที่มีชื่อ ..อย่าง “จิตวิทยาสายดาร์ก” .. “ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุข” หรือ.. “บ้านวิกลคนประหลาด” ..สร้างสรรค์เล่มนี้ออกมาอย่างทายท้าเจตจำนงของยุคสมัย..มันสอนสั่งให้มนุษย์เรากล้าที่จะแสดงออกอย่างเปิดเปลือยไร้ขีดจำกัด..เเสดงถึงการรู้เท่าทันจิตใจในบุคลิกลักษณะแห่งความมี ความเป็นของมนุษย์วันนี้.ที่ต้องดำรงอยู่ในฐานะชีวิตโดยไม่แพ้เปรียบใคร..มันคือพลังแห่งโอกาสของการแสดงออก ที่ชีวิตต้องก้าวข้ามพ้นชีวิต..ในความเป็นอยู่ที่เหนือตัวตนใดๆ..
..การตระหนักรู้ผ่านหนังสือเล่มนี้..จึ่งคือเงาสะท้อนของปัญญาญาณยุคใหม่..อันชวนตื่นตระหนก..แต่ก็ชวนเรียนรู้และรับรู้อย่างหยั่งลึกเช่นกัน..!!
“อาคิรา รัตนาภิรัต" ถอดใจความและแปลหนังสือเล่มนี้ออกมาอย่างแยบยลและรู้เท่าทัน..ไม่ใช่เพียงแค่ภาษาสื่อสาร..แต่มันยังเป็นมวลรวมของจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยที่ได้ “ชักใยและชี้เป็นชี้ตาย” ให้แก่ชะตากรรมของศรัทธา..ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น .ระหว่างและท่ามกลาง..ความมืดดำ..กับ..แสงสว่างทางปัญญาที่คล้อยเคลื่อนและมืดมนลง ..ณ..ยามนี้...!!!
เราพูดเรื่องส่วนตัว..ไม่ใช่เล่าเรื่องตัวเอง..แต่เราต้องการให้อีกฝ่าย..เล่าเรื่องของพวกเขาออกมา..ได้ง่ายขึ้น..!”