สงคราม โดดป้องนายกฯอิ๊งค์ ไม่ทอดทิ้งประชาชน จวกฝ่ายค้านเล่นการเมืองโบราณหาเหตุโจมตีรัฐบาล มั่นใจยกระดับรายได้คนไทยได้แน่ "เอกนัฏ" โต้ข่าวรทสช.ฮั้ว ภท. หนุนถาวรลงสู้ศึกเลือกตั้งนายกอบจ.สงขลา ด้านกมธ.มั่นคงฯซัดรัฐบาลแอ็คชั่นแก้ปมเมียนมายิงเรือประมงไทยน้อยเกินไป จ่อเรียกแจง 13 ธ.ค.

         เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.67 นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  รัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนทุกภาคส่วน ไม่เคยทอดทิ้งพร้อมแก้ปัญหาให้ประชาชนทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง หรือภาคใต้ เมื่อเกิดปัญหารัฐบาลพร้อมร่วมมือกับทุกหน่วยงานทั้งในพื้นที่หรือส่วนกลางลงไปแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน การที่พรรคฝ่ายค้านหยิบสถานการณ์น้ำท่วมใต้ในพื้นที่ภาคใต้มาโจมตีรัฐบาลว่าไม่ให้ความสำคัญ เป็นการเล่นการเมืองแบบโบราณย้อนแย้งกับที่ตัวเองประกาศว่าเป็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ เพราะการกล่าวหาที่เลื่อนลอยไร้สติ เป็นการตอกย้ำว่าพรรคการเมืองที่ชูตัวเองว่าเป็นคนรุ่นใหม่ใช้วิธีการโจมตีรัฐบาลแบบโบราณหลับหูหลับตาโจมตีแบบไร้เหตุผล
      
   นางสงคราม กล่าวว่า นโยบายสำคัญของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คือเดินหน้ายกระดับรายได้ประชาชน หลังจากที่ต้องทนทุกข์มายาวนาน 9 ปี พร้อมกับการปฏิรูปอุตสาหกรรมทั้งระบบเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมทั่วโลก ที่ผ่านมาพบว่าแนวโน้มการส่งออกสินค้าเกษตรไทยมีโอกาสขยายตัวมากขึ้น ดังนั้นถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะขยายส่งออกไปตลาดต่างประเทศ โดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ อย่างเต็มที่ โดยปัจจุบัน 18 ประเทศคู่เอฟทีเอ ของไทย ได้ลดและยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าเกษตรที่ไทยส่งออกส่วนใหญ่แล้ว อาทิ ยางพารา 16 ประเทศ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง 15 ประเทศ ไก่แปรรูป 14 ประเทศ ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง 12 ประเทศ ไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทยแล้ว
    
   นอกจากนี้ขอยืนยันว่ารัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายเพื่อวางรากฐานรายได้ที่มั่นคงให้กับประชาชน แก้ปัญหาทุกเรื่อง แต่พรรคฝ่ายค้านที่ผันตัวเป็นพรรคฝ่ายแค้น เกรงว่าหากรัฐบาลเดินหน้านโยบายแก้ปัญหาให้ประชาชนสำเร็จจะกระทบกับฐานเสียงและการเลือกตั้งครั้งหน้า ดังนั้นการออกมาโจมตี ฉุดรั้ง หรือการด้อยค่านโยบายรัฐบาล แม้กระทั่งการหยิบยกเอาสถานการณ์ความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาอุทกภัยทั้งภาคเหนือและภาคใต้มาโจมตีรัฐบาล จึงเป็นการกระทำที่น่าละอายมาก ในขณะที่รัฐบาลกำลังจับมือทุกหน่วยงานแก้ปัญหาแต่อีกฝ่ายจ้องจับผิดไม่มาร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนจึงเป็นการกระทำที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับนักการเมืองยุคนี้ นายสงคราม กล่าว
        
 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวพรรครวมไทยสร้างชาติจะสนับสนุนผู้สมัครลงนายกอบจหรือไม่ ว่า เราทำการเมืองภาพใหญ่ ในส่วนท้องถิ่นตนคิดว่ามีความละเอียดอ่อน ก็ว่ากันไปตามพื้นที่อยู่ที่ประชาชนอยากจะเลือกใคร อย่างพรรคเราเองบางจังหวัดก็สนับสนุนหลายทีม สำหรับเราทำนโยบายระดับประเทศ พร้อมเลือกตั้งระดับประเทศ
        
 ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวที่พรรครวมไทยสร้างชาติจับมือกับพรรคภูมิใจไทยส่ง นายถาวร เสนเนียม สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ชิงตำแหน่งนายกอบจจังหวัดสงขลา แข่งกับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นความจริงหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่วว่า ไม่มีจับมือพรรคไหนสู้กับพรรคไหน การเลือกตั้งท้องถิ่นต้องให้ประชาชนในพื้นที่เป็นผู้ตัดสิน และขอยืนยันว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นและการเลือกระดับชาตินั้นแตกต่างกัน เพราะระดับประเทศมีพรรคการเมืองสังกัดชัดเจนแต่ระดับท้องถิ่นไม่ชัดเจน
        
 "เราทำการเมืองระดับประเทศ ก็เตรียมพร้อมระดับประเทศ อย่างบางที่ไปสู้ท้องถิ่น แพ้มาก็เสีย ชนะมาก็ใช่ว่าจะดี เพราะไปแข่งกับเพื่อน เพื่อนโกรธอีก ถึงเลือกตั้งใหญ่ก็มีปัญหา ดังนั้นการไปแปลว่าทำท้องถิ่นเพื่อไปสู่ระดับประเทศ ก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว แต่ก็มีส่วนอยู่บ้าง จึงบอกว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ดนตรีอยากให้เรื่องนี้เป็นสิทธิ์ของประชาชนในพื้นที่ตัดสิน"
       
  เมื่อถามถึงกระแสข่าว น.ส.พิมภัทราพิชัยกุล อดีตรมว.อุตสาหกรรม และส.ส.นครศรีธรรมราช จะย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย หลังจากที่ไปสนับสนุนผู้สมัครนายกอบจ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีความใกล้ชิดกับพรรคภูมิใจไทยนั้น นายเอกนัฏ  กล่าวว่า เป็นเพียงข่าว ไปปล่อยข่าวกันอย่างนี้ และน.ส.พิมภัทราก็คุยกับตนอยู่ทุกวัน ตนจึงอยากจะเรียนว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่เกี่ยวกับประเทศ ยกตัวอย่างที่จ.นครศรีธรรมราช น.ส.พิมภัทราได้ช่วยผู้สมัครเบอร์ 2 ที่ได้รับเลือกเป็นนายกอบจ. และพอชนะก็มีการปล่อยข่าวว่าน.ส.พิมภัทราจะย้ายพรรค ขอยืนยันว่ามีหลายพรรคที่ช่วยเบอร์ ไม่ใช่แค่พรรคภูมิใจไทยพรรคเดียวตน จึงอยากย้ำว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งนายกอบจ.ที่เกิดขึ้นก็ให้สิทธิ์ ส.ส.ในพื้นที่ ในการสนับสนุนอย่างอิสระ
        
 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร รับยื่นหนังสือจากตัวแทนครอบครัวชาวประมงในจังหวัดพังงาที่ได้รับผลกระทบและอยู่ในเหตุการณ์กรณีเรือประมงไทยถูกทหารเมียนมายิงและจับกุม บริเวณน่านน้ำที่มีความใกล้กันระหว่างไทยกับเมียนมา จนส่งผลให้ผู้เสียชีวิต โดยตัวแทนชาวประมงจากจ.พังงาที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว และถูกกระสุนยิงแฉลบเฉียดศีรษะ เปิดเผยถึงความรู้สึกว่า การกระทำแบบนี้เกินกว่าความรุนแรง หากจะมีการยิงเตือน ต้องยิงขึ้นฟ้า หรือยิงลงน้ำ ไม่ใช่ยิงเข้ามาที่เรือชาวประมง ชาวประมงเพียงออกไปหาปลาไม่ใช่ออกไปสู้รบกับใคร
       
  ด้าน นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนเห็นใจต่อผู้ที่สูญเสีย และขอให้กำลังใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย รวมถึงบุคคลที่ถูกจับกุมไปทั้ง4ราย หวังว่าบุคคลที่ถูกจับกุมไปจะกลับสู่มาตุภูมิอย่างปลอดภัย ขณะที่ผู้เสียชีวิต ทรัพย์สินที่สูญเสียไป กมธ.ฯจะติดตามในด้านการเยียวยาเต็มที่ ส่วนกรณีเรือประมงไทยรุกล้ำน่านน้ำเมียนมาหรือไม่ ต้องไปพิสูจน์กันอีกครั้ง แต่เรื่องความเหมาะสมของสถานการณ์ทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ตนคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ไม่น่าร้ายแรงจนถึงขั้นยิงกันขนาดนี้ หากเรือประมงเป็นโจรสลัด ก็คงเป็นเป็นอีกแบบ ดังนั้นการยิงไปที่ตัวเรือ โอกาสที่จะมีผู้เสียชีวิตมันเล็งเห็นได้อยู่แล้ว การใช้ความรุนแรงระดับนี้ไม่สามารถยอมรับได้ คาดหวังว่ารัฐบาลจะเข้าไปดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงท่าทีไปยังรัฐบาลเมียนมา ว่าเหตุการณ์นี้ยอมรับไม่ได้ เรายังไม่รู้ว่ารัฐบาลไทยจะมีท่าทีจริงจังในการส่งสาสน์ไปยังเมียนมาขนาดไหน
     
    ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนมีความรู้สึกว่าท่าทีของประเทศไทยมันดูเบาไป เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางกมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ มองว่าเป็นเรื่องร้ายแรง หากปล่อยไปเรื่อยๆ เหตุการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต ดังนั้นในวันที่13ธ.ค.นี้ ทางกมธ.จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาในเรื่องนี้ หวังว่าจะได้ข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ และได้รับทราบแนวทางอย่างเป็นทางการของรัฐบาลว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร แน่นอนว่าเราสามารถแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ แต่การป้องกัน การแสดงท่าทีของไทย มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเราเป็นรัฐเอกราช เราก็คงไม่อยากทำแบบเดียวกันต่อประเทศไหนที่มารุกล้ำ เราก็คงไม่เริ่มต้นด้วยการยิงเขาเลย มันคงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ ทางกมธ.ฯจะติดตามอย่างจริงจัง ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เพราะมีความร้ายแรง กมธ.ฯจะทำทุกวิถีทางในการประสานช่วยเหลืออย่างเต็มที่ นายรังสิมันต์ กล่าว
       
  นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ในการประชุมกมธ. วันที่ 13 ธ.ค.นี้ จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง อาทิ สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กระทรวงการต่างประเทศ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารเรือ กรมอุทกศาสตร์ทหารเรือ ทัพเรือภาคที่3 เลขาธิการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล(ศรชล.) ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นต้น ก็หวังว่าจะเป็นพื้นที่ในการคลี่คลายปัญหา ต้องมาดูกันว่าจะมีมาตรการในการแก้ไขปัญอย่างไร
       
  ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลไทยควรดำเนินการอย่างไรกับตัวประกันไทยทั้ง 4 ราย ที่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เขาควรได้รับการปล่อยตัวกลับสู่มาตุภูมิอย่างปลอดภัยที่สุด ที่ผ่านมาเราทราบมาตลอดว่ารัฐบาลไทย กับรัฐบาลเมียนมามีความใกล้ชิดกันมาตลอด ในเมื่อบอกว่ามีความใกล้ชิด จึงมีความจำเป็นต้องใช้ความใกล้ชิดดังกล่าวเพื่อปล่อยตัวประกัน ต้องหาความเหมาะสมในการแสดงท่าทีทางการทูตเพื่อให้เมียนมารับรู้ว่าคือเรื่องร้ายแรง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีก
         
เมื่อถามว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ระบุมีคณะกรรมการเจรจาและได้ทำหนังสือท้วงไปแล้ว จะเพียงพอหรือไม่ หรือต้องมีกรรมการพิเศษ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า คงต้องดูว่าสุดท้ายพอหรือไม่ แต่ท่าทีของรัฐบาลเรา มันเบาไปหน่อย พอมันเบาไป พอไม่มีกระแสสังคม พอไม่มีพี่น้องสื่อมวลชนไปสอบถาม ตนไม่มั่นใจว่าจะทำหนังสือไปหรือไม่ ท่าทีมันเบามาก คงต้องสอบถามีรัฐบาล ยืนยันว่าเรานิ่งนอนใจไม่ได้ เราต้องทำให้รัฐบาลทหารเมียนมาเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ร้ายแรง