“ถ้ารัฐบาลจะเดินหน้าตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (JTC) ให้ได้ มันจะยิ่งเดินไปสู่จุดวิกฤติมากขึ้น”
หมายเหตุ : “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” ประธานพรรคไทยภักดี ให้สัมภาษณ์พิเศษ “สยามรัฐการเมือง” ประเมินสถานการณ์การเมือง “นอกสภาฯ” ที่รัฐบาลจะต้องเผชิญหน้าจากนี้ ไปพร้อมๆกับกรณีคำร้องต่างๆที่กระบวนการเริ่มต้นเดินหน้าแล้ว รวมทั้งกรณีปัญหาข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่อาจกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่ สำหรับ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และครม.
-แนวรบนอกสภาฯ สำหรับรัฐบาล จะส่งผลกระทบได้เร็วกว่า และมีผลมากกว่า ปัญหาว่าด้วยคดีความและคำร้องหรือไม่
มองว่าแต่ละจุดอาจจะเสริมซึ่งกันและกัน แต่น้ำหนักอาจจะแตกต่างกันไป รัฐบาลชุดนี้เจอหลายประเด็น อย่างกรณี ชั้น 14 ก็ถือเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความรู้สึกคุกรุ่น ในความรู้สึกของประชาชน เวลานี้เรื่องอยู่ที่คณะกรรมการป.ป.ช. แต่บังเอิญว่าป.ป.ช.ก็ล่าช้า ทำให้ยังอยู่ในใจประชาชนตลอด
ประเด็นที่สอง คือเรื่ององค์อิสระ คือเรื่องของการครอบงำพรรคเพื่อไทย และนายกฯแพทองธาร ก็ยังอยู่ในใจของประชาชน แต่เรื่องนี้เป็นข้อกฎหมาย ส่วนประเด็นที่สาม ยังไม่ได้ถูกจุดให้ร้อนแรง นั่นคือเรื่องสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งจะถูกตีคู่ไปกับเรื่องที่ดินเขากระโดง
แต่ประเด็นที่สี่ กลับกลายเป็นประเด็นที่ร้อนแรง ผมเชื่อว่าจะเป็นน้ำหนักสำคัญ คือเรื่องเอ็มโอยู 44 เพราะเรื่องนี้เป็นความเชื่อของประชาชนว่ารัฐบาลกำลังไปสมคบกับรัฐบาลกัมพูชา และคุณจะทำให้เสียผลประโยชน์ให้กัมพูชา และมีความเสี่ยงที่จะเสียดินแดน
ผมคิดว่าเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่เคลียร์ หากทำให้เคลียร์ และกล้าที่จะทำความเข้าใจกับประชาชน ฝ่ายที่คัดค้าน จึงทำให้คนยิ่งเชื่อว่าสิ่งที่ฝ่ายคัดค้านพูดนั้นเป็นความจริง ฉะนั้นเรื่องการเสียดินแดน เรื่องการเสียผลประโยชน์ชาติ เป็นเรื่องเซนท์ซิทีฟ ด้วยเหตุนี้ผมจึงบอกว่าหากพูดในแง่องค์รวมแล้วมันคือการเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่งสิ่งทำให้มีน้ำหนักมากที่สุด คือเรื่องเอ็มโอยู 44
- หมายความว่าถ้ารัฐบาลทำความเข้าใจ สถานการณ์น่าที่จะดีกว่านี้ ยิ่งสถานการณ์ในพื้นที่จ.ตราดเอง ก็มีความเคลื่อนไหว
ผมในฐานะที่เป็นหนึ่งที่ต้องการตรวจสอบรัฐบาลในประเด็นเรื่องเอ็มโอยู 44 แต่เราเห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถตอบคำถามแต่เรื่องได้เลย การที่รัฐบาลตอบคำถามไม่ได้ และนายกฯแพทองธาร ยังคำตอบที่สะท้อนให้เห็นว่าเอาเด็ก มาเป็นผู้นำรัฐบาล มาดูแลผลประโยชน์ของชาตินั้นไม่ได้
ยิ่งคำพูดที่บ่งบอกว่า ถ้าไม่ยอมถอยก็ให้แบ่งผลประโยชน์กัน ถือว่ามันอันตรายมาก หรือแม้แต่นายกฯพูดว่า เส้นที่กัมพูชาลากนั้น เขายอมแล้วไม่ผ่านเกาะกูด ยิ่งบ่งบอกว่าไร้เดียงสา กับการดูแลผลประโยชน์ของชาติ ยิ่งมีกระแสข่าวเรื่องการซ้อมรบของทหารเรือแล้วมีปัญหา
ดังนั้นผมมองว่าหลายสิ่ง หลายอย่างวันนี้คนไทยเชื่อว่าคุณกำลังเอื้อประโยชน์ให้กับกัมพูชา สังเกตว่าการออกมาโต้แย้งกันทางข้อมูล กลายเป็นว่าพวกเรา คือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เรารุกด้วยหลักฐานด้วยเหตุและผล แต่การตอบโต้กลับของรัฐบาล กลับกลายเป็นว่ามาปกป้องผลประโยชน์ให้กับกัมพูชา ซึ่งเรื่องนี้จะยิ่งสะสมหนักมากขึ้น
-วันนี้มีการมองไปที่กลุ่มมวลชนที่มีการเคลื่อนไหวประเด็นพื้นที่ทับซ้อน ที่เกาะกูด และล่าสุดคุณสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เตรียมเข้าพบ นายกฯแพทองธาร ที่ทำเนียบฯในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ การขยับของฝ่ายต่อต้าน จะทำให้รัฐบาลอยู่ลำบากหรือไม่
วันนี้เป็นเรื่องของผลประโยชน์ชาติ ดินแดนของชาติ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ซึ่งหากรัฐบาลทำด้วยความโปร่งใส ตรงไปตรงมา แล้วอธิบาย รับฟังปัญหา ถ้าคุณมั่นใจว่ารักษาผลประโยชน์ชาติได้ โดยที่ฝ่ายที่มีข้อสงสัยและซักถาม ผมเชื่อว่ามันฟังขึ้น แต่ผมมั่นใจว่าคำชี้แจงของรัฐบาล คงไม่สามารถทำได้ ผมยืนยันว่ารัฐบาลชี้แจงไม่ได้
เพราะหากรัฐบาลชี้แจงได้ก็อาจจะเปิดเวที ที่มีตัวแทนรัฐบาล ตัวแทนฝ่ายที่คัดค้าน มานั่งถกกัน แต่รัฐบาลไม่กล้า แล้วพูดอยู่ฝ่ายเดียว และยังเป็นการพูดไม่จริง ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องออกมาชี้แจง ยิ่งทำให้รัฐบาลเสื่อมหนักมากขึ้น
ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ที่จะต้องไปยื่นหนังสือของคุณสนธิ ในวันที่ 9ธ.ค.นี้ คิดว่ารัฐบาลไม่กล้าเผชิญด้วย ผมวิเคราะห์ว่ารัฐบาลไม่กล้าเอาคนสำคัญ ๆมาเผชิญกับความจริงเรื่องนี้ อาจจะให้มีตัวแทน ใครก็ได้มารับหนังสือจากคุณสนธิแทน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสะสมไปเรื่อยๆ
- คนที่จะเดือดร้อนอาจเป็นคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำรัฐบาลกัมพูชา ขณะเดียวกัน ลูกสาวคือนายกฯแพทองธาร ต้องเจอกับแรงกดดัน
ผมมองว่านายกฯแพทองธาร จะลำบาก รัฐบาลจะลำบาก ส่วนคุณทักษิณ ไม่ใช่ผู้เล่น สมแหตุสมผลแต่จะอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่ว่าคุณจะแก้อย่างไรก็แล้วแต่ ความจริงมันมีหนึ่งเดียว ว่าคุณปกป้องผลประโยชน์ชาติหรือไม่ หรือคุณกำลังจะเอาสมบัติชาติไปแบ่งผลประโยชน์กับกัมพูชา
ถ้าคุณคิดว่าจะหาทางออก เพื่อปกป้องผลประโยชน์ชาติ ผมยืนยันว่ามีทางออก และจะเป็นทางออกที่ไปได้ด้วย ด้วยการนำเรื่องนี้เข้าสู่การประชุมพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งเป็นเวทีที่ถูกต้องแล้ว เพราะวันนี้มีบทสรุปแล้วว่า เรื่องนี้เป็นสนธิสัญญา หลักฐานต่างๆที่เผยแพร่ออกมายืนยันแล้วว่า เป็นสนธิสัญญา ดังนั้นเรื่องนี้จึงบอกว่ารัฐบาลมีทางออกแล้ว โดยรัฐบาลสามารถนำเรื่องเข้าสู่รัฐสภาได้ ตามมาตรา 178 ถ้าเคลียร์ไม่ได้ รัฐสภาก็ไม่เห็นชอบก็จบไป
ทางออกนี้จะทำให้รัฐบาลไม่เสียหายด้วย และยังเป็นการชี้ว่าคุณเคารพกติกา จากนั้นคุณสามารถประกาศจุดยืนได้ว่า เรื่องนี้รัฐสภาไม่เห็นชอบ ทุกอย่างก็จบ แต่สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำกลายเป็นว่าคุณกำลังดื้อดึง ถ้ารัฐบาลจะเดินหน้าตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (JTC) ให้ได้ มันจะยิ่งเดินไปสู่จุดวิกฤติมากขึ้น
หากหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าเรื่องนี้เป็นสนธิสัญญา รัฐบาลจะต้องเอาเข้าที่ประชุมรัฐสภา แต่นี่เท่ากับคุณกำลังกระทำการขัดรัฐธรรมนูญอยู่ ถ้ายังเดินหน้าตั้ง JTC เลยโดยที่ไม่ผ่านที่ประชุมรัฐสภา และการตั้ง JTC จะเป็นสเต็ปสองที่จะนำไปสู่การเสียผลประโยชน์ ของชาติและเสียดินแดน
วันนี้เอ็มโอยู 44 เป็นจุดเริ่มต้น และถ้ารัฐบาลตั้ง JTC ก็จะไปสู่สเต็ปที่สอง จนไปสู่สเต็ปที่สาม คือเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา หากรัฐบาลสามารถล็อบบี้ได้หมด ก็เท่ากับว่าจบแล้ว จากนั้นคุณก็ไปสู่การขุดเจาะแบ่งประโยชน์ เท่ากับว่าเราเสียทั้งผลประโยชน์ชาติและเสียดินแดน ดังนั้นแค่ในขั้นตอนที่รัฐบาลกำลังจะตั้งคณะกรรมการJTC คุณจะเรียกแขกได้อีกมาก เพราะมันเป็นอันตราย มันเรียกกลับคืนไม่ได้
-ดังนั้นการที่รัฐบาลออกมาเรียกร้องฝ่ายที่ต่อต้าน ว่าอย่าจุดกระแสคลั่งชาติ หรือจุดความขัดแย้ง ด้วยการยกเอาเรื่องเสียดินแดนขึ้นมา จะทำสามารถลดน้ำหนักกลุ่มเคลื่อนไหวได้หรือไม่
ผมคิดว่าจะยิ่งเป็นการเติมน้ำมัน ให้ไฟมันลุกโชนมากขึ้น เพราะรัฐบาลไม่สามารถหักล้างความจริงได้ คือคุณจะชนะได้ แต่คุณจะหักล้างความจริงไม่ได้ ทั้งที่รัฐบาลจะต้องเอาประเด็นมาชี้ให้ได้ว่าเราไม่เสียประโยชน์ เราไม่เสียดินแดน แต่วันนี้คำชี้แจงจากรัฐบาล ไม่สามารถหักล้างได้เลยสักข้อ ทุกคนเชื่อเลยว่าหากยังเดินต่อในทางนี้ จะนำไปสู่การเสียดินแดน และเสียผลประโยชน์ชาติ
ดังนั้นการที่รัฐบาลมาเบรก มาลดทอนฝ่ายต่อต้าน ยิ่งทำให้คนยิ่งเชื่อว่า คุณจะเอาสมบัติชาติไปหาผลประโยชน์ โดยที่คุณไม่สนใจ จะยิ่งเป็นการเติมน้ำมันเข้ากองไฟ
- หลายคนเตือนรัฐบาลว่าอย่าประมาทเรื่องนี้ นอกเหนือไปจากการที่มัวแต่ไปห่วงเรื่อง “นิติสงคราม”
ผมเห็นด้วย เพราะเรื่องนี้ มีความคุกรุ่นมาก และอาจจะกระทบรัฐบาลมาก ผมยืนยันว่า ถ้ารัฐบาลเดินหน้า แตกหักแน่นอน ไม่มีใครยอมหรอกกับการจะต้องเสียพลังงาน ในส่วนที่ไม่ควรเสีย หรือการที่จะเสียดินแดนในอนาคต ภายใต้กฎหมายปิดปาก
-จากปัญหาเรื่องเอ็มโอยู 44 เรื่องพื้นที่ทับซ้อนที่เกาะกูด จะนำไปสู่ความขัดแย้งกันเองภายในพรรคร่วมรัฐบาลตามมาหรือไม่
ผมเชื่อว่าเมื่อถึงวันหนึ่ง รัฐบาลอาจจะแตก วันนี้เป็นการเช็คกระแส พรรคร่วมรัฐบาลก็รู้และคงดูจังหวะว่าหาก กระแสสังคม ต้านหนักมากๆ และพิสูจน์ได้ว่า มันจะนำไปสู่การเสียดินแดน เสียผลประโยชน์ชาติ โดยที่พรรคแกนนำหลักของรัฐบาลไม่สามารถชี้แจงได้ เชื่อว่าวันหนึ่งพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องตัดสินใจ รัฐบาลก็ต้องแตก
รัฐบาลชุดนี้อาจไปด้วยหลายเงื่อนไข กรณีนิติสงคราม จะมาอย่างไร ก็ต้องรอเวลาเรื่ององค์กรอิสระ แต่เงื่อนไของการเสียดินแดน อาจทำให้รัฐบาลแตกก่อน หรือนายกฯอาจจะเลือกยุบสภาก่อนม็อบใหญ่
- การเกิดม็อบใหญ่จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
กระแสจะถูกปลุกด้วยตัวของมันเอง ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริง กระแสไม่ขึ้นแน่นอน แต่เรื่องนี้กลับกลายเป็นว่ารัฐบาล ไม่ได้เสนอความจริง ขณะที่ฝ่ายคัดค้าน ที่แม้ต่างฝ่ายต่างเคลื่อนไหว แต่ข้อมูล และหลักฐาน เป็นข้อมูลที่เสริมกัน เป็นข้อมูลชุดเดียวกัน จากผู้เชี่ยวชาญ เราไม่ได้สร้างเรื่องขึ้นมาเอง เอกสารหลายเล่ม มันเสริมกัน
จึงกลายเป็นว่าแต่ละกลุ่มที่เคลื่อนไหว ต่างไปในทิศทางเดียวกัน เรื่องผลประโยชน์ชาติ เรื่องการเสียดินแดน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของผม คนคลั่งชาติ ,คุณสนธิ หรือจากคุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ของพรรคพลังประชารัฐ เราต่างคนต่างเดิน แต่ข้อมูลเหมือนกัน และไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะแหล่งข้อมูลใหญ่ คือเรื่องเอ็มโอยู 44 ซึ่งเราบิดเบือน หรือตีความเองไม่ได้ เพราะมีเอกสารหลักฐานชัดเจน
ผมยืนยันว่าถ้ารัฐบาลกล้าตั้งคณะกรรมการ JTC แสดงว่าคุณกล้าหัก และถ้าตั้งก็พัง เพราะเรื่องJTC มันพ่วงด้วยผลประโยชน์ชาติ และอธิปไตยของไทย
-ประเมินว่ารัฐบาลจะเดินไปอย่างไรต่อ
ผมเชื่อว่าตอนเริ่มต้นเขาประเมิน ว่าม็อบทุกคนเหนื่อยล้า แต่วันนี้รัฐบาลน่าจะเริ่มสัมผัสได้แล้วว่า สถานการณ์เช่นนี้ไม่ปกติแล้ว ประชาชนเริ่มสัมผัสได้แล้วว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความจริงกับประชาชน และนำไปสู่การเสียดินแดน
ผมเชื่อวันนี้ตัวคุณทักษิณ เองคงก่ายหน้าผาก สิ่งที่เขาคิดว่าข้อมูลต่างๆคนคงไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเรื่องนี้เข้าใจยาก แต่เมื่อได้ฟังซ้ำ ๆ เริ่มเข้าใจและเริ่มตกผลึกมากขึ้น และคิดว่าวันนี้ในกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาล เริ่มตกผลึกความคิดที่สอดคล้องกัน
คุณทักษิณและรัฐบาลคงเริ่มคิดหนักแล้วว่าจะแก้เกมอย่างไร และกล้ายืนยันว่าถ้าคุณคิดจะเดินหน้า อย่างไร คุณก็แก้เกมไม่ได้ แต่จะนำไปสู่จุดพังอย่างเดียว สิ่งที่จะทำให้เรื่องนี้ยุติได้ ต้องนำเรื่องเข้าสภาฯ
เราไม่ได้คาดหวังว่าพรรคประชาชน ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน จะทำอะไรได้ แต่เราหวังไปที่สว. ซึ่งน่าจะมีวุฒิภาวะมากกว่า และคิดว่าการอภิปรายในสภาฯ จะถูกตีแผ่ ความจริงมากขึ้น