“ฟิล์ม" ยืนยันไม่เลื่อน ไม่หนี พร้อมเดินทางพบพนักงานสอบสวนหากได้รับหมายเรียก “เคนโด้”ควงแขน “อี้-แทนคุณ” บุกร้อง “ดีเอสไอ” ตรวจสอบบริษัทจำหน่ายซิมดัง และรถยนต์อัลพาร์ท ของ”สามารถ”ที่ตำรวจยึดไว้เป็นของกลางเชื่อมโยงเกี่ยวกับคดีฟอกเงินหรือไม่ ขณะที่เหยื่อโผล่ถูกเรียกค่าดูแลรายเดือน
จากกรณีตำรวจกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ออกหมายเรียก นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม ปมคลิปเสียงเรียกรับเงินจาก น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือบอสปัน หนึ่งในผู้บริหารบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จำนวนกว่า 20 ล้านบาท นั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.67 ทีมทนายความของ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ ฟิล์ม เปิดเผบว่า ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา เพิ่งทราบว่ามีการออกหมายเรียกนายรัฐภูมิ ซึ่งทางทีมทนายความได้มีการพูดคุยกับนายรัฐภูมิบ้างแล้ว พบว่าหมายเรียกส่งไปตามภูมิลำเนา ซึ่งนายรัฐภูมิยังไม่ได้รับหมายเรียก ยืนยันว่าหากได้รับหมายเรียกแล้วจะเดินทางเข้ามาพบพนักงานสอบสวนโดยทันที จะไม่มีการเลื่อนหรือหนีแต่อย่างใด แต่ยังไม่ได้มีการระบุวันที่ชัดเจน ส่วนหลังจากที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวนว่าจะให้ปล่อยตัวชั่วคราว หรือจะมีการประกันตัวหรือไม่ ก็แล้วแต่อำนาจของพนักงานสอบสวน
วันเดียวกัน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร หรือเคนโด้ และนายแทนคุณ จิตต์อิสระ หรืออี้ นำหลักฐานเกี่ยวกับบริษัทเครือข่ายซิมดังที่เกี่ยวข้องกับ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ต้องหาคดี พ.ร.บ.การฟอกเงิน และตรวจสอบที่มาของรถยนต์อัลพาร์ท สีดำ ทะเบียร ส-0671 กรุงเทพมหานคร ของกลางที่ยึดได้จากบ้านของนายสามารถบาานพรานนกว่าถูกต้องหรือไม่ โดยมี น.ส.อรุณศรี วิชชาวุธ ผู้อำนวยการกองบริหารคดีพิเศษ เป็นผู้แทนรับเรื่อง
นายเกรียงไกรมาศ หรือ เคนโด้ กล่าวว่า จากการที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ยึดรถยนต์นายสามารถที่บ้านพักได้ 1 คัน เมื่อตรวจสอบพบรถคันดังกล่าวเป็นรถของบริษัทจำหน่ายซิมยี่ห้อหนึ่ง และไม่ใช่ชื่อนายสามารถ รวมทั้งตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทอาจเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินนายสามารถด้วยหรือไม่ โดยบริษัทอ้างว่าทำธุรกิจการจำหน่ายซิมและตู้เติมเงิน ทั้งๆ ที่กสทช.เคยเตือนห้ามนำซิมมาทำในระบบ MLM แต่ก็มีประเด็นเรื่องการชักชวนคนมาระดมทุนอ้างได้ผลตอบแทนสูง และยังมีดารา นักการเมือง ไปทำการตลาดให้ จนตอนนี้มีผู้เสียหายออกมาร้องเรียน เพราะช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทนี้ไม่ได้มีการจ่ายเงินให้กับผู้เสียหาย จึงตั้งข้อสังเกตว่าจะเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรือไม่
นายเคนโด้ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้บอกว่าบริษัทดังกล่าวกระทำผิด แต่อยากให้ออกมาชี้แจงแผนการทำธุรกิจแบบ 300% ใช่หรือไม่ ลงทุนสูงสุดถึง 5 ล้านบาทจริงหรือไม่ ซึ่งก็เลื่อนมาแล้วร่วม 2 เดือน นอกจากนี้ ตนจึงอยากให้ดีเอสไอตรวจสอบให้ลึกว่านายสามารถไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าวหรือไม่ และต้องการให้บริษัทดังกล่าวออกมาชี้แจงว่ารถเป็นของใคร เหตุใดนายสามารถถึงนำไปใช้เป็นรถประจำตำแหน่ง หรือนายสามารถไปมีตำแหน่งอะไรในบริษัทนี้ รวมถึงรถคันอื่นของนายสามารถอีก 4 คัน ว่ามีความเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ หากบริษัทเป็นผู้เสียหายก็อยากให้ชี้แจงด้วย
ด้าน นายแทนคุณ กล่าวว่า บริษัทดังกล่าวก่อตั้งประมาณ พ.ศ.2561 หรือ 6 ปีที่แล้ว คาบเกี่ยวกับนายสามารถ มีตำแหน่งผู้ช่วยรมว.ยุติธรรม มีการแอบอ้างเทวดา เพื่อไปเรียกรับเงินจากผู้เสียหาย โดยแบ่งพฤติกรรมเป็น 3 ลักษณะ คือ 1.อ้างมีการผู้ใหญ่ มีเทวดาคุ้มครอง 2. ต้องจ่ายส่วย ค่าดูแลเซ่นเทวดา และ 3.มักจะแสวงหาผลประโยชน์จากการใช้ข้อมูลจากผู้เสียหายว่ามีคนมาร้องเรียนให้ช่วยเหลือเมื่อได้ข้อมูลจากผู้เสียหายก็จะไปคุยกับบุคคลอื่นเพื่อตบทรัพย์ แต่อ้างขอค่าทำบุญ สอดคล้องกับเงินที่คุณแม่พูดว่าเป็นเงินทำบุญที่โอนเข้าบัญชีแม่ของนายสามารถ
นายแทนคุณ กล่าวอีกว่า บริษัทอ้างว่าแผนการลงทุนจะได้ประมาณ 3 เท่า เช่น ลงทุน 5 หมื่น ได้ 1.5 แสนบาท หรือ 5 แสน ได้ 1.5 ล้านบาท หรือ 5 ล้าน ได้ 15 ล้าน แต่ 2 เดือนล่าสุดเกิดสะดุดอ้างระบบติดขัด ซึ่งเป็นเพราะเทวดาด้วยหรือไม่ โดยวันที่ 3 ธ.ค. บริษัทอ้างว่าจะสามารถจ่ายค่าปันผลผู้เสียหายได้ แต่ถ้าทำไม่ได้จริง หลังจากนั้นอาจจะรวบรวมผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม บริษัทน่าจะมีค่าดูแล นายสามารถ หลังช่วงโควิด-19 ระบาดเพราะคดีแชร์ลูกโซ่ระบาดหนัก คาดว่าประมาณหลักแสนบาทต่อเดือน
ส่วน นายหน่อง ผู้เสียหาย กล่าวว่า รู้จักกับนายสามารถมาประมาณ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2557 แต่เมื่อเดือน เม.ย.66 เป็นช่วงที่นายสามารถดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม ทักมาชวนไปทำบุญวันเกิดนายสามารถ ตนจึงโอนเงินร่วมทำบุญไป 10,000 บาท จากนั้นเดือนถัดมา นายสามารถได้ส่งรูปโบว์ชัวร์ธุกิจขายปุ๋ยของตัวเองมา โดยอ้างว่ามีคนมาร้องเรียนกับนายสามารถว่าตนนำสารปรับปรุงดินมาทำเป็นปุ๋ยหลอกขายประชาชน
นายหน่อง กล่าวอีกว่า ไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่นายสามารถขอค่าดูแลเดือนละ 50,000 บาท แต่ตนขอต่อรองเหลือ 30,000 บาท และยอมจ่ายไป เพราะรู้สึกกลัวบารมี เนื่องจากนายสามารถส่งรูปไปทำกิจกรรมร่วมกับผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมือง จึงยอมโอนไป ตั้งแต่เดือน พ.ค.66 - ก.ค.67 และบัญชีที่โอนไปคือบัญชีของนางวิลาวัลย์แม่ของนายสามารถ จึงเชื่อว่าจำนวนเงิน 100 ล้านบาท จะเป็นเงินของตนด้วยส่วนหนึ่งด้วย