‘จิรายุ’ยันรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจเหตุการณ์เจ้าหน้าที่เมียนมายิงเรือประมงไทย ต้องหาสาหตุก่อนกำหนดท่าทีที่ชัดเจน “ผบ.ทสส.”ยัน 4 ลูกเรือประมงไทยปลอดภัย เร่งประสานช่วยเหลือกลับประเทศเร็วที่สุด โยน “ทัพเรือ”แจงเมียนมาทำเกินกว่าเหตุหรือไม่


ที่ทำเนียบร้ฐบาล เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.67 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเหตุการณ์เรือรบเมียนมายิงเรีอประมงไทย ว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องหาข้อพิจารณาว่าตกลงแล้วตรงกลางของเรื่องมันเกิดอะไรขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และนายมาริษ เสงี่ยมพงศ์ รมว.ต่างประเทศ ไปพูดคุยว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อทราบเหตุการณ์ที่ชัดเจนแล้วจึงค่อยมีท่าทีที่ชัดเจน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะไม่ว่าเขาจะรุกล้ำเข้ามา พื้นที่เรา หรือเรารุกล้ำไปพื้นที่เขา ก็ต้องมีการหาข้อมูลที่ชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป เพราะหากเราทำอะไรไปก่อน เปรียบว่าเราเป็นคนไทยทั้งประเทศ

“ขอให้รอช่วงบ่ายวันนี้ ซึ่งนายภูมิธรรมจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (นปท.) ครั้งที่ 1/2567 ส่วนความคืบหน้าการปล่อยตัวประกันคนไทยทั้ง 4 รายนั้น ผมยังไม่ได้รับรายงาน โดยขอให้รอความคืบหน้าในช่วงบ่ายเช่นกัน”
พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้สัมภาษณ์ถึงการช่วยเหลือ 4 คนไทย ที่ถูกกองทัพเรือเมียนมาจับกุม ว่า ตนติดตามข่าวอยู่ ซึ่งเราดูข้อมูลต่างๆ อยู่ ยืนยันว่าทั้งกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมดำเนินการเต็มที่ ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็กำลังติดตามข้อมูลอยู่ และได้ส่งสารไปทุกช่องทางแล้ว ขอเวลาในการพูดคุย 

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งการมาคือ คนไทยทั้ง 4 คน ต้องปลอดภัย และหากเป็นไปได้อยากให้กลับมาแผ่นดินไทยโดยเร็วที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงแนวโน้มในการช่วยเหลือจะเป็นอย่างไร พล.อ.ทรงวิทย์ กล่าวว่า พยายามเต็มที่ ทำมา 2 วันแล้ว เมื่อถามต่อไปว่าเรื่องนี้เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุหรือไม่ พล.อ.ทรงวิทย์ กล่าวว่า ต้องถามกองทัพเรือ เพราะเป็นเรื่องการปฏิบัติการ ตนคิดว่าเราควรมีข้อความเดียวกัน จึงอยากให้กองทัพเรือเป็นผู้ชี้แจง ตนมีหน้าที่แค่ประสานคณะกรรมการชายแดนในการช่วยเหลือประชาชน

สำหรับความปลอดภัยของคนไทยทั้ง 4 คน ที่ถูกจับตัวนั้น เท่าที่ทราบขณะนี้คือปลอดภัย ส่วนทหารทั้งสองฝ่ายยังพูดคุยกันปกติเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้กลับมาสู่แผ่นดินไทย เมื่อถามอีกว่าจะต้องมีการตั้งโต๊ะเจรจาหรือไม่ พล.อ.ทรงวิทย์ ตอบว่า ศูนย์ประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา และคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา (TBC) ได้พูดคุยกันตั้งแต่เช้าวันเกิดเหตุ ซึ่งทางผู้บังคับหน่วยและกองทัพเรือได้พบกันแล้ว อย่างไรก็ตาม ในข้อคำถามว่ามีข้อติดขัดอะไร เหตุใดจึงยังปล่อยตัวไม่ได้นั้น ไม่ทราบรายละเอียด และไม่ควรพูดในเรื่องที่ตนไม่ทราบ จึงขอให้กองทัพเรือและคณะกรรมการชายแดนเป็นผู้ชี้แจง แต่ยืนยันว่าทำเต็มที่

ด้าน นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ พร้อมสั่งการให้ น.ศ.พรรษชล พุ่มม่วง ประกันสังคมจังหวัดระนอง ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบผู้ได้บาดเจ็บจำนวน 2 ราย ได้แก่ นายศรีเพ็ชร บุตรทัด อายุ 47 ปี ตำแหน่งไต๋เรือมหาลาภธนวัฒน์ 4 ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ปัจจุบันแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว นายสุชาติ ชูเมือง อายุ 42 ปี ตำแหน่งลูกเรือของเรือมหาลาภธนวัฒน์ 4 ได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟฟ้าช็อตบริเวณนิ้วมือข้างขวา เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลระนอง และพบผู้เสียชีวิตจำนวน 1 ราย ชื่อ นายวรากร จูศิริพงษ์กุล อายุ 24 ปี ตำแหน่งช่างเครื่องประจำเรือดวงทวีผล 333 เสียชีวิตจากการจมน้ำ ส่วนเรือ ส.เจริญชัย 8 มีลูกเรือจำนวน 31 คน ถูกเรือรัฐบาลทหารเมียนมาควบคุมไปยังเกาะย่านเชือก ประเทศเมียนมา 

เหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นการประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง ทายาทของผู้เสียชีวิตจะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเงินทดแทน ดังนี้ค่าทำศพจำนวน 50,000 บาท ค่าทดแทนกรณีเสียชีวิต ร้อยละ 70 ของค่าจ้างเป็นระยะเวลา 10 ปี และเงินบำเหน็จชราภาพ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า นายจ้างของเรือประมงไทยทั้ง 3 ลำ อยู่ในพื้นที่ และได้ขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนกับสำนักงานประกันสังคมจังหวัดพังงา เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม จึงได้มอบหมายให้ น.ส.ขนกาญจน์ เทพนอก นักวิชาการแรงงานชำนาญการ รักษาการในตำแหน่งนักวิชาการแรงงานชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนประกันสังคมจังหวัดพังงา ลงพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือ และชี้แจงสิทธิประโยชน์แก่ทายาทผู้เสียชีวิต ต่อไป

“แม้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ขอให้ผู้ประกันตนทุกคนเชื่อมั่นว่าสำนักงานประกันสังคมพร้อมดูแลให้การช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประกันตน รวมทั้งทายาทของผู้เสียชีวิตให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วน และทันท่วงที เพื่อเป็นหลักประกันในการดำรงชีวิตของผู้ประกันตนทุกคน”