"เคนโด้-อี้แทนคุณ" เปิดหลักฐานใหม่ จี้ DSI สอบ "สามารถ" โยงเทวดาคนไหนบ้าง

นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร หรือ เคนโด้ และนายแทนคุณ จิตต์อิสระ หรือ อี้ แทนคุณ นำหลักฐานเกี่ยวกับรถยนต์อัลพาร์ท สีดำ ทะเบียน ส-xxxx กทม. ของกลางที่ ยึดได้จากบ้านของนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ต้องหาคดี พ.ร.บ.การฟอกเงิน ที่บ้านย่านพรานนก มาให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ  DSI ตรวจสอบว่ารถคันดังกล่าวใครเป็นผู้ครอบครองตัวจริง 

โดย นายเคนโด้ บอกว่า ตนเองได้ตรวจสอบพบว่า รถคันดังกล่าวเป็นรถประจำตำแหน่งของ บริษัทจำหน่ายซิมยี่ห้อหนึ่ง ที่มีประเด็นเรื่องการชักชวนคนมาลงทุน อ้างได้ผลตอบแบแทนสูง และยังมีดารา นักการเมือง ไปทำการตลาดให้จนตอนนี้มีผู้เสียหายออกมาร้องเรียน
แต่ประเด็นหลักคือ รถดังกล่าวทาง DSI บอกว่า เป็นรถของนายสามารถ ซึ่งไม่ตรงกับข้อมูลที่ตนไปตรวจสอบมา ตนจึงอยากให้ DSI ตรวจสอบให้ลึก ว่านายสามารถไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าวหรือไม่ และต้องการให้บริษัทดังกล่าวออกมาชี้แจง ว่ารถเป็นของใคร เหตุใดนายสามารถถึงนำไปใช้เป็นรถประจำตำแหน่ง หรือ นายสามารถไปมีตำแหน่งอะไรใรบริษัทนี้ รวมถึงรถคันอื่นของนายสามารถอีก 4 คัน ว่ามีความเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ ซึ่งตนไม่ได้บอกว่า บริษัทดังกล่าวผิด แต่แค่อยากให้ออกมาชี้แจงให้ชัดเจน เพราะ มีพฤติกรรมให้คนมาระดมทุน จึงตั้งข้อสังเกตุว่าจะเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินของนายสามารถหรือไม่ เพราะช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทนี้ไม่ได้มีการจ่ายเงินให้กับผู้เสียหาย 

นอกจากนี้ นายเคนโด้ และนายอี้ แทนคุณ ยังพานายหน่อง ผู้เสียหายที่ทางสอบสวนกลางพบเส้นเงินเกี่ยวข้องกับเงินหมุนเวียนจำนวน 100 กว่าล้าน ของบัญชีแม่นายสามารถที่เรียกมาสอบปากคำไปเมื่อสัปดาห์ก่อน 


โดยนายหน่อง บอกว่ารู้จักกับนายสามารถมาประมาณ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2557 แต่เมื่อเดือนเมษายน ปี 2566 เป็นช่วงที่นายสามารถ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทักมาชวนไปทำบุญวันเกิดนายสามารถ ตนจึงโอนเงินร่วมทำบุญไป 10,000 บาท จากนั้นเดือนถัดมา นายสามารถได้ส่งรูปโบว์ชัวร์ธุกิจขายปุ๋ยของตัวเองมา โดยอ้างว่ามีคนมาร้องเรียนกับนายสามารถ ว่า นายหน่องนำสารปรับปรุงดินมาทำเป็นปุ๋ยหลอกขายประชาชน ซึ่งในหนองยืนยันกับนายสามารถว่าไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่นายสามารถ ยังพูดและขอค่าดูแลเดือนละ 50,000 บาท แต่ตนขอต่อรองเหลือ 30,000 บาท และยอมจ่ายไป เพราะรู้สึกกลัวบารมี เนื่องจาก นายสามารถส่งรูปไปทำกิจกรรมร่วมกับผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมือง ส่งลิ้งค์ข่าวของตัวเอง มาสร้างอำนาจบารมี จนตนกลัวบารมีจึงยอมโอนไป ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 จนถึง กรกฎาคม 2567  รวมถึงมีการให้ตนทำบุญร่วมเป็นประจำ 

นายหน่อง บอกอีกว่า ที่ผ่านมาตนคุยแชทกับนายสามารถมาโดยตลอด และบัญชีที่โอนไปคือบัญชีของนางวิลาวัลย์ แม่ของนายสามารถ 
โดยหลักฐานที่ได้มอบให้กับผู้สื่อข่าวคือแชทที่ได้พูดคุยกับทางนายสามารถ ซึ่งในแชทจะเห็นเลยว่าตอนแรกนายสามารถ ได้มีการเรียกเงินก่อนจำนวน 5 หมื่นบาท อ้างว่าเป็นค่าที่ปรึกษาก่อนออกตลาด พร้อมจะให้คำแนะนำด้วย แต่ทางผู้เสียหายก็ได้ต่อรองเหลือ 2 หมื่นบาท โดยให้เหตุผลว่าโครงการเพิ่งเริ่มได้ไม่นานหากดีขึ้นค่อยเพิ่มทีหลัง แต่นายสามารถ ก็ตอบกลับว่า 3 หมื่น พร้อมให้เหตุผลว่าเรทนี้เป็นเรทที่ต่ำที่สุดแล้ว ก่อนจะมีการตกลงกันในเรท 3 หมื่น


จากนั้นก็ได้มีการเริ่มโอนเงินให้ในวันที่ 1 ก.ค. 2566 โดยบัญชีที่รับโอนก็คือชื่อของนางวิลาวัลย์ ซึ่งก็คือแม่ของนายสามารถ แล้วหลังจากนั้นก็จะมีการโอนเงินจำนวน 3 หมื่นบาท ในทุกๆวันที่ 1 ของเดือน จนถึงเดือนกรกฎาคมปี 2567 ซึ่งวันที่โอนอาจจะมีเลทบ้างตามสภาพคล่อง นายหน่องจึงเชื่อว่าเงินบัญชีของแม่นายสามารถพี่มีเงินหมุนเวียนจำนวน 100 ล้าน จะเป็นเงินของตนด้วยส่วนหนึ่งจึงมาร้องดีเอสไอเพื่อขอเงินเยียวยาผู้เสียหาย


ขณะที่ นายอี้ แทนคุณ ยังบอกเสริมอีกว่า พฤติกรรมของนายสามารถมีการไปแอบอ้างเทวดา เพื่อไปเรียกรับเงินจากผู้เสียหาย โดยแบ่งพฤติกรรมเป็น 3 ลักษณะคือ 1 อ้างมีการผู้ใหญ่ มีแบคดี มีเทวดาคุ้มครอง  2. ต้องจ่ายส่วน จ่ายค่าเซ่นเทวดา 3.มักจะแสวงหาผลประโยชน์จากการใช้ข้อมูลจากผู้เสียหายว่ามีคนมาร้องเรียนให้ช่วยเหลือเมื่อได้ข้อมูลจากเสียหายก็จะไปคุยกับบุคคลอื่นเพื่อกลับตบทรัพย์
ตนมองว่ามันสอดคล้องกับเงินที่คุณแม่พูดว่าเป็นเงินทำบุญที่โอนเข้าบัญชีแม่ของนายสามารถที่อ้างว่าเป็นเงินทำบุญ