“วิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” หรือ “ภาวะโลกร้อน” หรือที่หลายคนรวมถึงบิ๊กบอสของสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เรียกว่า “โลกเดือด” ไปแล้ว ต้องถือเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวง

ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อชีวิต คือ ปลิดชีพมนุษย์เรา ตามการประเมินของหน่วยงานด้านการเฝ้าระวังภัยภาวะโลกร้อนในสหรัฐฯ แห่งหนึ่ง ระบุว่า แต่ละปีก็มีผู้ถูกภาวะโลกร้อน คร่าชีวิตไปเฉลี่ยอยู่ที่ 400,000 คน หากว่ากันเป็นตัวเลขกลมๆ และมีแนวโน้มว่า ตัวเลขจะทะยานพุ่งสูงถึงในปี 2030 (พ.ศ. 2573) หรืออีก 6 ปีข้างหน้าเป็น 700,000 คนด้วยกัน จากการที่ภาวะโลกร้อน ก่อให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นประการต่างๆ รวมถึงทำให้พลเมืองโลกเราต้องประสบกับความหิวโหยอดอยากจนต้องเสียชีวิตไปนั่นเอง

นอกจากนี้ ภาวะโลกร้อน ก็ยังก่อให้เกิดปรากฏการณ์อพยพย้ายถิ่นฐานของประชาคมพลเมืองโลกในภูมิภาคต่างๆ ตามมา เพื่อหนีภัยจากภาวะโลกร้อน ที่กำลังคุกคามต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา

ตามการเปิดเผยในรายงานฉบับหนึ่งที่ชื่อว่า “โกลบอล รีพอร์ต ออน อินเทอร์นัล ดิสเพลซเมนต์” หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า “กริด (GRID : Global Report on Internal Displacement)” ได้ระบุในรายงาน “กริด” ฉบับประจำปีล่าสุด คือ 2024 (พ.ศ. 2567) ว่า ผลพวงจากวิกฤติภาวะโลกร้อน ก่อให้เกิดปรากฏการณ์การอพยพของประชาคมพลเมืองโลกในภูมิภาคต่างๆ นับตั้งแต่ปี 2008 (พ.ศ. 2551) จนถึงปี 2023 (พ.ศ. 2566) หรือตลอดช่วงระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา รวมแล้วก็มีจำนวนมากกว่า 359 ล้านคน

ตัวเลขข้างต้น ก็มากกว่าจำนวนประชากรของสหรัฐอเมริกา ทั้งประเทศเสียอีก โดยสหรัฐฯ มีประชากรอยู่ที่ 334 ล้านคน เท่านั้น

อิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น ทำให้เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมสูงฉับพลัน ในจีน จนประชาชนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน (Photo : AFP)

พร้อมกันนี้ ทางคณะผู้จัดทำรายงาน “กริด” ก็ยังระบุด้วยว่า ตัวเลข 359 ล้านคน เป็นจำนวนที่มีการสำรวจติดตาม ซึ่งในสภาพความเป็นจริง ก็ประเมินว่า น่าจะมีมากกว่าที่ได้รายงานไป เพราะคาดว่า ยังมี “ผู้อพยพ” ที่ “ตกสำรวจ” อีกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีหลายพื้นที่ของโลกเรา มีความยากที่จะเดินทางเข้าถึง

รายงานกริด ประจำปีนี้ ยังระบุถึงสถานการณ์ผู้อพยพจากการได้รับผลกระทบของภาวะโลกร้อน เฉพาะในช่วงรอบปีที่ผ่านมา คือ 2023 (พ.ศ. 2566) โดยเปิดเผยว่า ทั่วโลกมีจำนวนมากถึง 6.6 ล้านคนด้วยกัน ที่ต้องทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องเดิมของตน จากภัยธรรมชาติอันมีสาเหตุมาจากภาวะโลกร้อน ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมสูงฉับพลัน ดินโคลนถล่ม เพราะฝนตกหนักต่อเนื่อง การเกิดไฟป่า การเกิดวาตภัย และภัยแล้งอย่างรุนแรง เป็นต้น

ประชาชนต้องหอบข้าวของ ทิ้งบ้านเรือน เพื่อหนีไฟที่กำลังลุกไหม้จากไฟป่าที่กำลังลุกลามไหม้บ้านพักของพวกเขา (Photo : AFP)

โดยกลุ่มคนที่อพยพเหล่านี้ จำนวนไม่น้อย ที่ต้องอพยพหลายครั้งในช่วงรอบปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ถ้านับรวมถึงกลุ่มที่อพยพแบบชั่วคราว เพื่อหนีภัยธรรมชาติอันเกิดจากภาวะโลกร้อน ในปีที่ผ่านมาแล้วนั้น ก็มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 20.3 ล้านคน

ในรายงานกริด ยังจำแนกแยกย่อยถึงกลุ่มอพยพหนีภัยธรรมชาติ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนโดยตรงเอาไว้ด้วย เช่น ภัยธรรมชาติที่เกิดจากแผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุระเบิด เป็นต้น โดยระบุว่า มีจำนวนอย่างน้อย 1.1 ล้านคนทั่วโลกในช่วงรอบปีที่แล้ว

พร้อมกันนั้น รายงานกริด ก็แยกจำแนกปรากฏการณ์อพยพของผู้คนจากภัยธรรมชาติอันสืบเนื่องจากภาวะโลกร้อนในแต่ละภูมิภาค หรือประเทศ ที่เผชิญกับภัยธรรมชาติจากภาวะโลกร้อนครั้งใหญ่ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ได้แก่ “จีน” ตามรายงานกริดระบุว่า มีจำนวนมากถึง 4.6 ล้านคน

ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่ทำให้จีนต้องอพยพผู้คนครั้งใหญ่ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ก็คือ การเผชิญหน้ากับมหาวาตภัย “พายุไต้ฝุ่นทกซูรี” เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นั่นเอง ซึ่งอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นลูกดังกล่าว นอกจากพัดกระหน่ำจนสร้างความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ก็ยังก่อให้เกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมสูงฉับพลัน และดินโคลนถล่มตามมาในหลายพื้นที่

พิษภัยของพายุไต้ฝุ่นลูกนี้ ก็ยังทำให้ “ฟิลิปปินส์” เสียหายอย่างหนักด้วยเช่นกัน จนทำให้ประชาชนชาวตากาล็อก ต้องอพยพหนีมหาวาตภัยข้างต้นมากถึง 2.1 ล้านคน จนกล่าวได้ว่า ฟิลิปปินส์ มีผู้อพยพมากเป็นอันดับสอง รองจากจีนแผ่นดินใหญ่ จากผลพวงของพายุไต้ฝุ่นลูกดังกล่าว

บ้านเรือนในฟิลิปปินส์ ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากวาตภัย จนไม่สามารถพำนักอาศัยต่อไปได้ (Photo : AFP)

ส่วนที่ทวีปแอฟริกา ประเทศที่มีการอพยพย้ายถิ่นฐานเพราะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมากที่สุด ก็คือ “โซมาเลีย” โดยหลังจากเผชิญกับวิกฤติมหาอุทกภัย น้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบหลายทศวรรษ ก็ทำให้ประชาชนชาวโซมาเลีย ต้องอพยพหนีภัยมากถึง 2 ล้านคนด้วยกัน

รายงานกริด ได้จำแนกในแต่ละภัยธรรมชาติจากภาวะโลกร้อน ที่บังคับให้ประชาชนพลเมือง ต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน ได้แก่

อุทกภัย หรือน้ำท่วม และวาตภัย ภัยจากพายุพัดถล่ม โดยทั้งภัยธรรมชาติทั้งสองชนิดนี้ ถูกจัดให้เป็นกลุ่มภัยธรรมชาติอันสืบเนื่องจากผลพวงของภาวะโลกร้อน ที่ทำให้ประชาชนต้องอพยพในแบบถาวรและชั่วคราวมากที่สุด ระดับเบอร์ต้นๆ

โดยน้ำท่วม ทำให้ต้องอพยพมากถึง 9.8 ล้านคน ส่วนผู้อพยพจากหนีภัยจากพายุ มีจำนวน 9.5 ล้านคน

ตามมาด้วย ภัยแล้ง มีจำนวน 491,000 คน และหนีภัยจากไฟป่าจำนวน 435,000 คน

การอพยพย้ายถิ่นฐานในบางพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งอย่างรุนแรง (Photo : AFP)

ส่วนการอพยพหนีภัยธรรมชาติจากโลกร้อนอื่นๆ ก็มี “ดินโคลนถล่ม” จำนวน 119,000 คน พื้นที่ที่อาศัยเดิมที่อาศัยตามริมฝั่งลำน้ำต่างๆ ตลอดจนชายทะเล ซึ่งผจญกับริมฝั่ง หรือชายฝั่งถูกเซาะกร่อน มีจำนวน 7,000 คน และการย้ายถิ่นฐานเพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง แปรปรวนไปอย่างสุดขั้วมีจำนวน 4,700 คน

จากรายงานกริดที่ปรากฏ ก็ทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แนะนำให้ทางการประเทศต่างๆ มีมาตรการสำหรับการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่บรรดาผู้อพยพหนีภัยธรรมชาติจากภาวะโลกร้อนกันด้วย นอกจากเหนือความพยายามบรรเทาปัญหาของภาวะโลกร้อน อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ ขึ้น ซึ่งนับวันก็มีแนวโน้มว่า ทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ ยิ่งกว่าอดีตที่ผ่านมา จนน่าเป็นห่วง