เมื่อวันที่ 29  พฤศจิกายน 2567 นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการผู้ก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา(พชภ.) และอดีตสมาชิกวุฒิสภา จ.เชียงราย เปิดเผยว่า รู้สึกยินดีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางมามอบบัตรประจำตัวประชาชนแก่บุคคลที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS เชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย ในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 เพราะประเด็นปัญหาสถานะบุคคลเป็นเรื่องที่สะสมมานาน นับวันยิ่งมีความซับซ้อนและรุนแรงมากยิ่งขึ้น  เนื่องจาก กลไกระดับปฏิบัติการของภาครัฐไม่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่ระดับนโยบายกำหนด  จึงทำให้ประชาชนจำนวนมากที่ควรได้รับการพัฒนาสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องเผชิญความเดือดร้อน จากการเข้าไม่ถึงสิทธิในสวัสดิการของรัฐ และไม่สามารถทำหน้าที่พลเมืองและหน้าที่ทางการเมืองได้

นางเตือนใจ กล่าวว่า กลุ่มผู้เฒ่าไร้สัญชาติเป็นกลุ่มคนที่น่าเห็นใจมากที่สุดกลุ่มหนึ่งเพราะมีความเปราะบาง  ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธ์ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยได้  ไม่มีความรู้ทางกฏหมายและแนวทางปฎิบัติที่ถูกต้อง จึงต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้นำชุมชนลูกหลานและหน่วยงานที่ทำงานด้านสิทธิสถานะบุคคล

นางเตือนใจ กล่าวว่า กรณีศึกษาผู้เฒ่าที่เป็นชาวเขาดั้งเดิมติดแผ่นดิน เกิดและมีภูมิลำเนาในประเทศไทยต่อเนื่อง แต่ถูกบันทึกข้อมูลสถานที่เกิดในเอกสารที่สำรวจโดยทางราชการไม่ตรงกัน  หรือถูกบันทึกรายการสถานที่เกิดผิดจากความเป็นจริงจากเกิดในประเทศไทย เป็นการเกิดนอกประเทศ ซึ่งพชภ.ได้หารือและดำเนินการร่วมกับกรมการปกครอง ว่าควรมีการแก้ไขข้อมูลได้ตามที่เป็นจริง  โดยอธิบดีกรมการปกครองขณะนั้นจึงส่งหนังสือเวียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2563 เพื่อทำความเข้าใจแนวทางปฏิบัติ และล่าสุดนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย )ได้ส่งหนังสือเวียน ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2567  ถึง ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ยืนยันให้นายทะเบียนสามารถแก้รายการสถานที่เกิดหรือข้อมูลอื่นๆ ให้ตรงกับความเป็นจริงได้  โดยเน้นว่าสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม

อดีตสมาชิกวุฒสภา จ.เชียงราย กล่าวว่า ยังมีปัญหาในกลุ่มผู้เฒ่าที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย แต่มีภูมิลำเนาบนแผ่นดินไทยต่อเนื่อง 30 -60 ปี ผสมกลมกลืนกับสังคมไทย  ได้ใบสำคัญถิ่นที่อยู่และใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว มีชื่อในทะเบียนบ้านประเภท ทร.14 มีสิทธิที่จะยื่นคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทย แต่พบปัญหาประกอบการใช้ดุลพินิจของรัฐมนตรีเรื่องรายได้ การเสียภาษี การตรวจสอบประวัติและความประพฤติ การสัมภาษณ์ความรู้ภาษาไทย ผู้เฒ่าที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์จึงไม่สามารถใช้สิทธิ์นี้ได้  ซึ่งเมื่อวันที่  13 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงมหาดไทยเห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขแนวทางประกอบการใช้ดุลพินิจในการอนุมัติการขอแปลงสัญชาติเป็นไทย สำหรับผู้เฒ่าอายุ 60 ปีขึ้นไปที่เป็นชนกลุ่มน้อย เพื่อลดปัญหา อุปสรรคในการยื่นคำร้องขอแปลงสัญชาติ

“มูลนิธิพชภ.ได้ทำงานผลักดันแก้ไขปัญหาแปลงสัญชาติเป็นไทย สำหรับผู้เฒ่าไร้สัญชาติ ต่อเนื่องกว่า 12 ปี เราพบว่า กระบวนการแปลงสัญชาติ ยังมีปัญหา เพราะไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าจะสำเร็จเมื่อใด กระบวนการแปลงสัญชาติฯ เกี่ยวข้องกับหน่วยงานไม่น้อยกว่า 10 แห่ง  มีขั้นตอนการพิจารณาหลายระดับ จากสำนักทะเบียนอำเภอ ถึงคณะกรรมการระดับชาติ การแปลงสัญชาติจึงเป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับผู้เฒ่าที่เป็นชาวเขาและชนกลุ่มน้อย และคนต่างด้าวทั่วไปส่วนใหญ่ใช้เวลานานกว่า 10 ปี  โดยไม่สามารถติดตามได้ว่าคำร้องขอแปลงสัญชาติของตนอยู่ในขั้นตอนใด” นางเตือนใจ กล่าว

ที่ปรึกษามูลนิธิ พชภ.กล่าวว่า การรับรองสิทธิในสัญชาติไทยด้วยวิธีแปลงสัญชาติ จึงไม่เหมาะสมกับคนกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นผู้เฒ่าไร้สัญชาติที่มีจำนวนกว่า 100,000 คนทั่วประเทศ ในขณะที่ประชากรสูงวัยของประเทศไทยมีจำนวนถึง 20% ของประชากรทั้งหมด แต่ผู้สูงวัยหรือผู้เฒ่าไร้สัญชาติกลับถูกทิ้งไว้ไว้ข้างหลัง ไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิในสวัสดิการสังคมตามกฏหมายและนโยบายของรัฐ ถูกประเภท

“เป็นโอกาสดีหากรัฐบาลจะเร่งพิจารณา กำหนดนโยบายพิเศษเพื่อแก้ปัญหาผู้สูงอายุไร้รัฐไร้สัญชาติ โดยคณะรัฐมนตรีมอบอำนาจให้สภาความมั่นคง กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงภาคประชาสังคม ร่วมกันคิดรูปแบบ รวมทั้งทบทวนกฎหมาย นโยบายเพื่อขจัดความไร้รัฐไร้สัญชาติ ให้แก่ผู้สูงอายุ สนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนระดับชาติเพื่อขจัดความไร้รัฐ ไร้สัญชาติอย่างเป็นระบบ ปรับปรุงกลไกลการทำงานจากระดับอำเภอ จังหวัดและกรม และกระทรวง บูรณา การความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ในระดับประเทศและระดับสากล”นางเตือนใจ กล่าว

 นายทูล วงค์ษา อายุ 63 ปี ตัวแทนผู้เฒ่าไร้สัญชาติชาวไทลื้อ จ.เชียงราย กล่าวว่า ตนอยู่ประเทศไทยมาตั้งแต่ พ.ศ 2505 จึงมีความรักและผูกพันธ์ผืนแผ่นดินไทย มีความจงรักภักดี ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และเลื่อมใสการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยเหลือการเข้าสู่สัญชาติของไทลื้อผู้สูงอายุไร้สัญชาติด้วย รวมถึงผู้ที่อยู่มานาน แต่อายุไม่ถึง 60 ปี และผู้ได้รับบัตรเล่มต่างด้าวก็ไม่ควรรอ 5 ปี จึงมีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอแปลงสัญชาติได้ 

ขณะที่แม่เฒ่าซือฉะมิ วัย 72 ปี ชาวบ้านเฮโก ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย กล่าวว่า ทั้งพี่ชายและพี่สาวของตนต่างได้รับสัญชาติไทยกันแล้ว ลูกหลานต่างเป็นคนไทย ตนรู้สึกน้อยใจว่าทำไมตัวเองถึงยังไม่ได้ ไม่อยากให้มีขั้นตอนมากมายเพราะตนอายุเยอะแล้ว อยู่บนดอยสูง เดินทางลำบาก และไม่รู้จะอยู่รอวันที่จะได้เป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ได้อีกนานแค่ไหน