หมายเหตุ : “เสรี สุวรรณภานนท์” อดีตสมาชิกวุฒิสภา  ให้สัมภาษณ์รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ออกอากาศทางช่องยูทูบ Siamrathonline  มองการเมืองไทยข้ามช็อตไปถึงปีหน้า 2568 ทั้งในมิติการเมืองและการบริหารงานของรัฐบาล “แพทองธาร 1” เพื่อที่จะได้เห็นทิศทางข้างหน้าว่ายังมีปัญหา อุปสรรค ตลอดจน โอกาสที่กำลังรอท้าทายรัฐบาลอยู่บ้าง โดยออกอากาศเมื่อวันที่ 23 พ.ย.67

- การเมืองไทยปีหน้าจะเป็นอย่างไร รัฐบาลจะเป็นอย่างไร

สิ่งสำคัญคือเรื่องเสถียรภาพรัฐบาล  การเมืองจะเดินติดขัดหรือไม่  จะราบรื่นหรือไม่จะอยู่ที่รัฐบาลมีเสถียรภาพทางการเมืองหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน  ส่วนเสถียรภาพของรัฐบาลจะขึ้นอยู่กับผลงานของรัฐบาลเอง สามารถที่จะทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงเอาไว้ได้หรือไม่  ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ แก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้แค่ไหน  เรื่องปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ

ในทุกๆรัฐบาลที่ผ่านมานั้นประชาชนมักจะเปรียบเทียบว่าในการดำรงชีวิตที่ผ่านมา จะถูกนำไปเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลปัจจุบันกับรัฐบาลก่อน ประชาชนอยู่ดีมีสุขอย่างไร ตรงนี้จะเป็นตัววัดอีกตัวหนึ่ง หลังจากที่รัฐบาลลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  ตั้งแต่มีรัฐประหารมา จนมีการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 มีประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ว่าอยู่กันมา 10ปี ใช้ถ้อยคำ มีความเกลียดชังลุงตู่ เมื่อต่อมาได้รัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย มาจากการเลือกตั้ง เคารพกติกา จึงเกิดข้อเปรียบเทียบขึ้นมา กลายเป็นว่าสิ่งที่รัฐบาลลุงตู่ที่ได้ทำมานั้นดีกว่ารัฐบาลปัจจุบัน  ตรงนี้รัฐบาลต้องแก้ปัญหา แก้สิ่งเหล่านี้ให้ได้

หากรัฐบาลยังแก้ไม่ได้ ยังไม่ประทับใจพี่น้องประชาชน ผลงานที่ออกมายังถูกเปรียบเทียบ กลายเป็นว่ารัฐบาลที่มาจากรัฐประหารดีกว่ารัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย มาจากการเลือกตั้ง ประชาชนก็จะเสื่อมศรัทธา และคิดว่าลุงตู่ดีกว่า และรัฐบาลปัจจุบันยังอยู่ในอำนาจจึงต้องแก้ปัญหาในเรื่องเหล่านี้ให้ได้

ส่วนปัญหาในทางการเมืองเอง เสถียรภาพของรัฐบาลจะอยู่ได้หรือไม่ ก็ต้องรู้ว่ารัฐบาลปัจจุบันไม่แข็งแรง เพราะเกิดมาจากรัฐบาลหลายพรรค จึงต้องเอาอกเอาใจกัน รักษาผลประโยชน์ร่วมกัน ต้องจัดสรรอำนาจเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากรัฐบาลปรองดองกัน พรรคการเมืองไม่ขัดแย้งกันรัฐบาลก็อยู่ได้ ไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไรก็ตาม  อยู่ที่เสียงในสภาฯ สนับสนุน อยู่กันอย่างมั่นคง กว่า 250 เสียงก็ยังพออยู่กันได้ แต่การอยู่กันแบบนี้ คือการอยู่กันอย่างหลวมๆ ไม่ได้อยู่กันแบบมั่นคง               

สิ่งสำคัญของเสถียรภาพรัฐบาล จะอยู่ได้หรือไม่ จะอยู่เงื่อนไขกรณีที่มีคนส่งเรื่องไปร้องต่อองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ต่างๆ ที่ผ่านมาเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับการเมืองในบ้านเรา จะเห็นได้ว่านายกฯคนที่แล้ว คุณเศรษฐา ทวีสิน ดูแล้วไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรได้เลย  ทั้งที่คุณเศรษฐาเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน สามารถตั้งรัฐมนตรีได้ กลับกลายเป็นว่าเมื่อตั้งคุณพิชิต ชื่นบาน ขึ้นมาแล้วศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ว่าขาดจริยธรรม

ซึ่งเรื่องนี้โดยส่วนตัวเองมองว่า มันประหลาด  และจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก  เพราะรัฐบาลปัจจุบันตัวนายกฯแพทองธาร ชินวัตร มีประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาว่าเป็นการครอบงำจากคุณทักษิณ ผู้เป็นพ่อ  รวมถึงพรรคเพื่อไทยจะถูกยุบหรือไม่  เนื่องจากคุณทักษิณ ไปแสดงบทบาท แสดงอำนาจ แสดงถึงการก้าวก่าย แทรกแซง พรรคการเมือง

ทั้งนี้องค์กรอิสระจึงเป็นตัวแปรสำคัญ ทั้งคณะกรรมการป.ป.ช. จะต้องมีมติชี้มูลในเรื่องจริยธรรมก็ดี  หรือมีเรื่องความผิดทางอาญา ก็มี ในส่วนของกกต.มีคนร้องมา หรือบางกรณีมีการไปยื่นร้องที่อัยการสูงสุด  หรือยังสามารถไปร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เอง  เพราะฉะนั้นเงื่อนไขเหล่านี้ในปีหน้าจะวนเวียนอยู่กับปัญหาเหล่านี้

แต่การเมืองในบ้านเรา เมื่อมีกระแสอะไรเกิดขึ้นมา ถาโถมไปทางฝ่ายการเมือง แต่ตอนนี้การเมืองมีตัวช่วยจากประเด็นปัญหา ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในสถานการณ์บ้านเมือง ทำให้ประชาชนสนใจกลบประเด็นของคุณทักษิณ ที่ไปนอนชั้น 14 ที่โรงพยาบาลตำรวจ รวมถึงประเด็นอื่นๆอีกหลายประเด็น นอกจากนี้ยังมีคดีจากพวกหิวแสง จากบรรดาทนายความที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีต่างๆเหล่านี้ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ปีระชาชนสนใจ สื่อเองก็ต้องนำเสนอข่าว ดังนั้นทำให้เรื่องสำคัญๆทางการเมืองหลายเรื่อง ทั้งที่อยู่ในศาลรัฐธรรมนูญก็ตามก็จะถูกบังเอาไว้

และต่อไปในปีหน้า เมื่อคดีความเหล่านี้ซาไปแล้ว ประเด็นทางการเมืองก็จะถูกหยิบยกขึ้นมา และจะทำให้เกิดปัญหาความวุ่นวายตามมาพอสมควร จากผลของคดี แต่ฝ่ายการเมืองทำอะไรมากไม่ได้  แม้ว่าฝ่ายค้านเอง จะมีพรรคประชาชนเป็นหลักที่กำหนดเอาไว้ว่าจะขอเปิดอภิปรายในสภาฯ ไม่ว่าจะอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจก็ตาม ก็คงเป็นเพียงการแสดงอย่างหนึ่งเพราะเชื่อว่าในทางการเมืองก็มีการพูดคุยกันทั้งนั้น มันตกลงกันได้ ดังนั้นจะสังเกตได้ว่าฝ่ายค้านเองไม่มีอะไรหวือหวาเลย  ดังนั้นระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้านก็คงได้ระดับหนึ่ง แต่คงไม่ถึงกับเอาเป็นเอาตายกัน เพราะยังคุยกันรู้เรื่อง และมีเวลาอีก 2 ปีเศษในการที่จะต้องอยู่ร่วมกัน และโอกาสที่จะเปลี่ยนขั้ว ก็เกิดขึ้นได้ตลอด เนื่องจากมีความสัมพันธ์กันมาแต่ก่อนเก่า ฉะนั้นในทางการเมืองเองก็คงยังจะไม่รุนแรง

เว้นแต่ว่าถ้าองค์กรอิสระ รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัยแล้วมีการล้มกระดานกันเกิดขึ้น หรืออาจจะเกิดจากสถานการณ์ที่พรรคการเมืองไม่ปรองดองกัน หรือแตกแยกกัน ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ เพราะยังมีเรื่องที่ดินเขากระโดง ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่มีการตรวจสอบกันเกิดขึ้น ถ้าตกลงกันไม่ได้ขึ้นมา หรือหากตรวจสอบแล้วมีความผิดเกิดขึ้น รัฐบาลอาจจะต้องยุบสภา ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก  เพราะฉะนั้นจะอยู่ที่เหตุการณ์และสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น แต่คงยังไม่สามารถกำหนดได้ว่ารัฐบาลจะอยู่ได้หรือไม่  อยู่ครบเทอมหรือไม่

-ฉะนั้นมองว่าสถานการณ์การเมืองเวลานี้ค่อนข้างตึงเครียดระหว่างพรรคประชาชนกับคุณทักษิณ จากการหาเสียงเลือกตั้ง นายกอบจ.อุดรธานี ที่ผ่านมา แต่วันหนึ่งพวกเขาก็สามารถที่จะจับมือกันได้ หรือหากมีปัจจัยอื่นๆ เช่นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้น กับตัวนายกฯแพทองธาร หรือการจัดสรรระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลไม่ลงตัว ก็มีโอกาสที่พรรคประชาชนจะเข้ามาร่วมรัฐบาล

เชื่อว่ามีโอกาสตลอด เพราะยังมีเยื่อใยกันอยู่ เดิมตอนแรกพรรคประชาชนจะตั้งรัฐบาลก็กอดกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่ศัตรูถาวรในทางการเมือง ก็สามารถเปลี่ยนขั้วกันได้ แต่ต้องมีเงื่อนไขอื่นๆ ประกอบด้วย เช่นพรรคประชาชนยังยึดมั่นในการแก้มาตรา 112 หรือไม่ ถ้ายังยึด ก็จะทำให้พรรคไม่โตและจะเกิดปัญหากันอยู่ตลอดเวลา  แต่ถ้าตัดเรื่องเหล่านี้ออกไปได้ เชื่อว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนจะให้การสนับสนุนอีกมาก

เชื่อว่า ตอนนี้ต่างคนก็แสดงบทบาทไปตามหน้าที่ เพราะเมื่อเป็นพรรคการเมืองก็จะต้องรักษาฐานเสียง พรรคประชาชนเองก็อยากได้คะแนนเสียงในส่วนของท้องถิ่นแต่ช่วงหลังๆจะสังเกตได้ว่าฝ่ายประชาชน เริ่มจะไหวตัวกัน โดยก่อนหน้านี้ก็มาตามกระแสของพรรคอนาคตใหม่ หรือพรรคก้าวไกล ที่มาตามกระแส แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ ระหว่างประชาชนกับนักการเมือง พอเล่นกับกระแสก็ได้คะแนนมา  แต่เมื่อประชาชนเกิดรู้ตัวขึ้นมา ฝ่ายพรรคการเมืองซีกบ้านใหญ่ เห็นกลยุทธ์แล้วก็ต้องแก้เกม ด้วยการดึงหัวคะแนนกลับมา การเข้าหาประชาชนมากขึ้น คนก็เริ่มกลับข้างไป

ดังนั้นจะเห็นว่าเวลาลงคะแนนเลือกนายกอบจ.จะแพ้ตลอด เพราะบ้านใหญ่ตั้งหลักกันได้แล้ว และไม่ตัดคะแนนกันเอง  เมื่อก่อนพรรคใหญ่ๆลงแข่งแล้วตัดคะแนนกันเอง ทำให้แพ้พรรคก้าวไกลหมด เพราะคะแนนต้องแบ่งกัน

แต่ในการเลือกตั้งสส.ครั้งต่อไป คะแนนก็จะกลับมาแบ่งแบบเดิม  เพราะพรรคการเมืองแต่ละพรรคก็จะสู้กันเต็มที่ ฉะนั้นเมื่อแบ่งคะแนนกันไปแล้ว พรรคการเมืองที่มาเป็นกลุ่มก้อน ก็จะนำแล้วคราวนี้ จากนั้นจะกลับมาสู่สถานการณ์ที่แต่ละพรรคการเมืองต่างระดมสรรพกำลังทั้งหลาย เพื่อที่จะให้ผู้สมัครของพรรคตัวเองได้คะแนน ทำให้คะแนนมันจะแตก เมื่อเป็นเช่นนี้ พรรคที่มีโอกาสจะได้คะแนนสูง คือพรรคสีส้ม  เพราะตอนนี้มันเห็นหมดแล้ว อ่านกันได้หมดแล้ว

ดังนั้นตอนนี้เมื่อมีการเลือกนายกอบจ. พรรคสีส้มก็จะแพ้หมด แต่การพ่ายแพ้ของพรรคสีส้ม ก็ยังมีคะแนน ทำให้พรรคสีส้มไม่ได้เสียใจอะไร  และนี่คือการรักษาคะแนนเสียงของพรรคสีส้มเพื่อที่จะไปสู้ในเวทีใหญ่ และมีโอกาสสูงที่พรรคสีส้มจะกลับมา เป็นพรรคผู้นำได้ หากพรรคการเมืองยังไม่สามารถปรองดองกันได้ โอกาสที่พรรคการเมือง ที่มาจากกระแสก็จะโตกว่าคนอื่นได้

-ปัจจัยอื่นๆทั้งมวลชน เรื่องชาตินิยม  เรื่องเอ็มโอยู 44 ได้ให้น้ำหนักเรื่องนี้ด้วยหรือไม่

ก็ถือเป็นประเด็น ภาคประชาชนนั้นหากพูดกันตรงไปตรงมา ก็จะมีกลุ่มอยู่แล้วที่รวมตัวกัน และไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่รัฐบาลทำ ดังนั้นเมื่อมีประเด็นอะไรเกิดขึ้นมาก็ตาม คนกลุ่มนี้ก็จะนำเอาประเด็นเหล่านี้ มาจุด ส่วนจะติดหรือไม่ ก็ถือว่ายังเป็นกลุ่มก้อน ที่มีพลังอยู่ เช่นกรณีประเด็นเอ็มโอยู 44  ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าเราไม่เสียเกาะกูด แต่ข้อตกลงในเอ็มโอยู 44 ดังกล่าวยังถือว่ายังจำเป็นที่จะต้องมีอยู่  และถ้ารัฐบาลยังยืนแบบนี้ ก็จะเป็นประเด็นสำหรับกลุ่มที่ไม่เอารัฐบาลอยู่แล้ว ก็จะหยิบประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาตั้งแง่ ต่อสู้ เรียกร้องกัน

ดังนั้นรัฐบาลจะถูกคนที่ไม่เอารัฐบาล กำหนดประเด็นแล้วรวมตัวกันเคลื่อนไหว จนทำให้รัฐบาลไม่สามารถอยู่ได้อย่างสงบและราบรื่นได้

นอกจากนี้ยังห่วงว่าหากปีหน้ารัฐบาลยังไม่ปรับวิธีการทำงาน ให้เร็วกว่านี้ ชัดเจน และให้มีผลงานของรัฐบาลที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน แก้ปัญหาปากท้องที่ยั่งยืน จะทำให้เป็นการเสียโอกาส เนื่องจากตัวเองมีอำนาจ สามารถสร้างผลงานได้มากมาย  แต่กลายเป็นว่ายังไม่สามารถสร้างผลงาน ทำนโยบายให้กับประชาชนได้ จุดนี้จะเป็นตัวแปรที่จะทำให้ประชาชนต้องตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

บางทีหลายคนไม่เอาพรรคสีส้ม แต่ปรากฏว่าตัวเลือกน้อยลง ก็อาจจะทำให้ต้องเลือกไปทางพรรคสีส้มโดยอัตโนมัติเป็นไปได้สูง ดังนั้นหากรัฐบาลมีโอกาสสร้างผลงาน สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข

หรือจะรอให้คุณทักษิณ ออกมาพูดก่อนแล้วงานจึงจะเดิน ไปๆมาๆ ก็สะท้อนกลับไปอีกว่า คุณแพทองธาร ไม่สามารถทำงานได้ ต้องรอคุณพ่อออกมา ตอนหลังคุณทักษิณ พยายามไม่ออกตัว แต่บางทีก็เลี่ยงไม่พ้น  พอคุณทักษิณ ไม่ออกตัว นายกฯก็กลายเป็นช้าเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะประสบการณ์ของนายกฯที่ยังน้อยไป แต่ต้องเข้ามาสู่การเมือง

เชื่อว่า การเมืองในปีหน้า แม้รัฐบาลจะอยู่ในท่ามกลางหอกดาบ แต่หากใช้ฝีมือ ทำผลงานให้ประชาชนได้เห็นอย่างเต็มที่ ก็จะสามารถอยู่ได้