สร้างความฮือฮา ไม่น้อย เมื่อมีข่าวจากนักข่าวในพื้นที่ภาคเหนือ ระบุว่า กองทัพบกไทย  เตรียมพร้อมในเขตชายแดนไทย-เมียนมา กดดันให้ กองกำลังว้าแดง ถอนกำลัง ออกจากการรุกล้ำเขตแดนไทย

แต่ทางว้าแดง ไม่ยอม มีการระดมกำลัง เตรียมพร้อมรบกับทหารไทย  จนทำให้สถานการณ์ แถวดอยหนองหลวง และ ดอยหัวม้า ด้านตรงข้ามพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ตึงเครียด  มีการเสริมกำลัง อาวุธหนัก เข้าเพิ่มเติมที่ฐานดอยหัวม้า ฐานหนองหลวง และ ฐานย่อยอีก รวม 5 ฐาน

โดยฝ่ายว้าแดง อ้างว่า กองกำลังของเขายึดดอยนี้มาจากกองกำลังของขุนส่า  เพราะหากเป็นพื้นที่ของไทย  ขุนส่า จะยึดมาเป็นเขตปกครองได้อย่างไร  เพราะกองกำลังว้าแดง ได้ยึดต่อจากขุนส่า จึงเป็นความชอบธรรม และเป็นพื้นที่ที่จะยึดครองต่อไป

กระแสข่าวนี้ ส่งผลให้ราษฎรในพื้นที่ ตื่นตระหนก ว่าจะมีการสู้รบกัน เกิดขึ้น  ขณะที่ ต่างประเทศ ก็จับตามองว่า เกิดอะไรขึ้น  เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในเมียนมา และความเคลื่อนไหวของ มหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา หรือไม่  เพราะ เป็นที่รู้กันว่า  ว้าแดง เป็น ชนกลุ่มน้อย ที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมา  มายาวนาน

และถูกมองว่า เป็น รัฐกันชนของ ทหารเมียนมา ที่หวังผล ในการสร้างความไม่มั่นคงให้กับประเทศไทยเพราะว้าแดง ถูกมองว่าเป็น ชนกลุ่มน้อยที่ผลิตยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้าลักลอบ เข้าสู่ประเทศไทย จำนวนมหาศาล มายาวนาน

ถึงขั้นที่กองทัพบก ส่งทหารรบพิเศษ เข้าปฏิบัติการทำลาย โรงงานผลิตยาบ้าตามตะเข็บชายแดน จนเกิดการกระทบกระทั่ง กัน  ก่อนที่จะมีการสู้รบกัน เกิดขึ้น ช่วงปี 2543-2544 แต่ว้าแดง ก็ยังคงยึดชายแดน มายาวนาน

ฝ่าย ทหารพม่า มี ว้าแดง เป็นรัฐกันชน และทำหน้าที่ ทำลายความมั่นคงของไทยด้วยการปั๊มยาบ้าลักลอบส่งเข้ามาขายจนทำให้เกิดปัญหาสังคมมาต่อเนื่องยาวนาน

เพราะฝั่งเมียนมาเองก็มองว่ากองทัพไทย ก็ใช้รัฐกันชน สนับสนุนชนกลุ่มน้อยต่างๆ ตามแนวชายแดนไทยในการต่อสู้กับรัฐบาลทหารเมียนมา มายาวนานเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่ม ไทยใหญ่และ กะเหรี่ยง มาต่อสู้กับรัฐบาลทหารเมียนมา

ชายแดนไทย-เมียนมา จึงอยู่กันแบบนี้ มาหลายสิบปี

แต่ปัจจุบัน นโยบายของรัฐบาลไทย ใน 10 ปีหลัง เปลี่ยนแปลง  โดยลดระดับการสนับสนุนชนกลุ่มน้อย เสมือนเลิกนโยบายรัฐกันชน  เพราะพบว่า ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน บางส่วน เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ผิดกฎหมายและการลักลอบค้าอาวุธสงคราม 

ประกอบกับความไม่สงบในเมียนมา ส่งผลลบต่อไทย มากกว่า  ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้รัฐกันชน  เพราะ ทำให้มีผู้หลบหนีจากการสู้รบหลบหนีเข้ามารัฐบาลไทย และกองทัพต้องดูแลแก้ปัญหายาเสพติด  และ ผลพวงจากการมีผูัหลบหนีภัย จากการรบเข้ามา

แต่กรณี ข่าวทบ. ไล่ว้าแดง พ้นเขตชายแดน นี้ ทั้ง ทบ. และ กองทัพภาค 3 ต่างพยายาม ลดความหวาดวิตก ด้วยการยืนยันว่า  ชายแดนปกติ  ไม่มีการเสริมกำลัง เตรียมกวาด ว้าแดง เช่นที่เป็นข่าวว่า ทบ.ไทย สั่งให้ กกล.UWSA (ว้าแดง) ที่รุกล้ำมาตั้งฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตไทย ถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่รุกล้ำ

โดย ฉก.สิงหนาท  กองกำลังนเรศวร ได้ตรวจสอบข้อมูลข่าวสารและชี้แจงกับผู้สื่อข่าวในพื้นที่ แล้ว  พบว่า  ข่าวนี้ ออกมาจากกลุ่มทหารว้าแดง และกลุ่มสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน

แต่ยืนยัน ปัจจุบันยังอยู่ในภาวะปกติ และยังไม่มีสั่งการใดๆ ในการปฏิบัติตามที่ปรากฏข่าว โดยห้วงที่ผ่านมาหน่วยได้ทำการพบปะ พัฒนาสัมพันธ์ และประสานความร่วมมือในระดับฐานปฏิบัติการ อยู่อย่างต่อเนื่อง ด้านประชาชนตามแนวชายแดนยังคงมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าประเภทเครื่องอุปโภคบริโภคกันเป็นปกติ

แต่อย่างไรก็ตาม กองทัพปฏิเสธว่าไม่มีจริง ในเรื่องปมปัญหา  โดยยอมรับว่า  กองทัพภาคที่ 3  ได้ปฏิบัติตามขอบเขตของอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และได้ปฏิบัติการตามพันธกิจของกองทัพบก โดยใช้กลไกความร่วมมือที่มีอยู่ในทุกระดับ ทั้ง คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (Township Border Committee : TBC) เช่น คณะกรรมการฯ TBC แม่ฮ่องสอน – ลอยก่อ และ คณะกรรมการฯ TBC แม่สาย – ท่าขี้เหล็ก  และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) กองทัพภาคที่ 3 - สำนักปฏิบัติการพิเศษที่ 4 กองทัพเมียนมา และคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) กองบัญชาการกองทัพไทย – กองทัพเมียนมา ในการแก้ปัญหาจะเริ่มจากเบาไปหาหนัก โดยการพูดคุยกับทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งร่วมกันให้ปัญหายุติโดยเร็ว กองทัพภาคที่ 3 มีความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยในทุกพื้นที่

ถึงขั้นที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม   ยืนยีนว่า ขณะนี้เหตุการณ์สงบเป็นปกติ  แม่ทัพภาคที่ 3  ยืนยันว่า ไทยกับว้าแดงอยู่ด้วยกันมา ตามเขตแดนที่ตกลงกันไว้ สามารถพูดคุยกันได้ และความสัมพันธ์ก็ไม่มีปัญหา การรบหรือเหตุความรุนแรงก็ไม่มีปัญหา เรื่องชายแดน ถือเป็นเรื่องอ่อนไหว

นายภูมิธรรม มองว่า เป็นการปล่อยข่าว ที่มีจุดมุ่งหมาย มุ่งหวัง หรืออาจเกิดจากความคลาดเคลื่อนที่ไม่ได้ตั้งใจ และพูดออกมาเรื่อยเปื่อย

“ขณะนี้กองกำลังว้าแดง อยู่ในแนวตะเข็บชายแดนที่ตกลงกันไว้ ถ้าไม่เคลื่อนเข้ามา ก็ไม่ต้องผลักดัน ขออย่าพูดเรื่องเสียดินแดน เพราะไม่มีคนไทย ทหารคนไหนไม่รักชาติ  แต่อยู่กันอย่างสันติ

ไม่มีทางที่จะไปยอมให้เส้นแดน แม้แต่ตารางนิ้วเดียว” รมว.กลาโหม พลเรือน ระบุ

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อกระแสข่าวออกมาในลักษณะนี้แล้ว จึงทำให้ถูกจับตามองว่า จะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อ “บิ๊กปู” พล.อ. พนา แคล้วปลอดทุกข์  ผบ.ทบ. ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ได้แค่ 1 เดือน เศษ

ด้วยเพราะ พล.อ.พนา  ได้ชื่อว่า เป็น นายทหารสายสไตรเกอร์  เคยเป็น ผบ.พล.ร.11  และ เป็นสายเดียวกับ บิ๊กแดง พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์  อดีต ผบ.ทบ. สายอเมริกัน  และเรียนจบจากสหรัฐอเมริกาเหมือนกัน  พล.อ. พนา จึงถูกจับตามองว่า  จะสั่งเปลี่ยนแปลงนโยบายชายแดนหรือไม่

โดยเฉพาะ เมื่อ  นาย โดนัลด์ ทรัมป์ จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ มกราคม 2568 นี้  และมีอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายด้านเมียนมา   และ ทหารไทย ก็ถูกจับตามองว่า จะเร่งจัดระเบียบชายแดน ในยามที่ เมียนมา ไม่เข้มแข็ง  ไม่อาจมาช่วย ว้าแดงได้ หาก ทหารไทย จะจัดระเบียบชายแดนใหม่

แต่ไม่ว่า ทหารไทย เคลื่อนไหวใดๆ ด้านเมียนมา  ก็ทำให้ถูกสงสัยว่า มีสหรัฐฯเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่  เพราะที่ผ่านมาก็มีกระแสข่าว เรื่องความเคลื่อนไหวของ CiA ตามแนวชายแดน  อยู่เนืองๆ ที่ทำให้ฝ่ายผู้นำเมียนมา ก็ระแวงมาตลอด

แต่ในอีกด้านหนึ่ง กระแสข่าวที่เกิดขึ้นกำลังถูกเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับMOU 44 และเกาะกูด หรือไม่ เพราะกำลังมีการปลุกกระแส ต่อต้านการเจรจาแบ่งประโยชน์ใต้ทะเลระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชา ที่กำลังปลุกให้เป็นประเด็นทางการเมืองเพื่อล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ ความสัมพันธ์ใกล้ชิดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกับผู้นำกัมพูชา กำลังถูกจับจ้องอย่างหวาดระแวง