คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

เนื่องจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีศัตรูทางการเมืองอยู่รอบข้างมากมาย และเขาอาจจะต้องการได้นักการเมืองหนุ่มสักหนึ่งคนมาเป็นองครักษ์ บุคลิกเป็นนักบู๊จอมพลัง จงรักภักดี เพื่อใช้แก้แค้นคิดบัญชีต่อศัตรูทางการเมืองของเขา โดยคำตอบในใจของเขาก็น่าจะเป็น “ส.ส.แมตต์ เกตซ์”

และแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เมื่อสามสัปดาห์ก่อน “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” จะสามารถได้รับชัยชนะไปอย่างท่วมท้น แถมพรรครีพับลิกันยังสามารถเข้าไปนั่งคุมเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและในสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้งค่ายอนุรักษ์นิยมยังคุมศาลฎีกาสหรัฐฯด้วยเสียง 6 ต่อ 3  จึงเป็นที่คาดการณ์กันว่า ต่อไปในภายภาคหน้า ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ อาจจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ แต่เหตุการณ์เยี่ยงนั้น กลับมิได้เกิดขึ้น

โดยแรกเริ่มเดิมทีความตั้งใจที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ หวังเอาไว้ว่าจะได้ “ส.ส.แมตต์ เกตซ์” สมาชิกสภาผู้แทนฯ จากรัฐฟลอริด้า ที่มีความจงรักภักดีต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์เป็นพิเศษ (ตอนนี้กลายเป็นอดีตส.ส.ไปเสียแล้ว เนื่องจากเขาลาออกในทันทีที่ประธานาธิบดีทรัมป์เอ่ยปากว่าจะแต่งตั้งให้เขารับตำแหน่งอัยการสูงสุด) ผู้ซึ่งนั่งคุมปีกขวาของพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนฯ และยังเคยโค่นล้ม “ประธานสภาฯ เควิน แม็คคาธีร์” ได้เป็นผลสำเร็จมาแล้ว เพราะวุฒิสมาชิกอย่างน้อยสี่คนของค่ายพรรครีพับลิกันส่ายหน้าปฏิเสธไม่ยอมเล่นด้วย!!!

และถึงแม้ว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จะเอ่ยปากให้ “ว่าที่รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์” เข้าไปพบปะพูดจาเกลี้ยกล่อมผู้นำในวุฒิสภาของค่ายพรรครีพับลิกันหลายๆคนก็ตาม

เป็นที่น่าสังเกตุว่า ส.ส.แมตต์ เกตต์ มิได้เป็นแค่เพียงนักการเมืองธรรมดาๆ เพราะที่ผ่านมาเขาเป็นนักการเมืองดาวรุ่งที่กำลังมีดวงพุ่งแรง ส่วนการศึกษาของเขาก็ไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน โดยเขาจบในระดับปริญญาตรี จาก “มหาวิทยาลัยฟลอริดา สเตท” และยังจบด้านกฎหมายจาก “William & Mary”

แต่เนื่องจากที่ผ่านมา ส.ส.แมตต์ เกตซ์ มีประวัติด่างพร้อยที่เขาถูกสอบสวนจากคณะกรรมการด้านจริยธรรม ของสภาผู้แทนราษฎรและกระทรวงยุติธรรม เกี่ยวกับถูกตั้งข้อสงสัยว่า ไปมีเพศสัมพันธ์กับเด็กอายุต่ำกว่า 17 ปี และยังมีข้อสงสัยว่า เขาใช้ยาเสพติด แถมหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ยังได้ออกมาตีข่าวเปิดเผยอย่างละเอียดเกี่ยวกับนักการเมืองผู้นี้ว่า เข้าไปมีส่วนในเรื่องฉาวโฉ่มั่วสุมกับผู้หญิงค้าบริการร่วมกับเพื่อนๆร่วมงานหลายๆคนที่เป็นเครือข่ายโยงเหมือนกับใยแมงมุม โดยแมตต์ เกตต์จ่ายค่าบริการตั้งแต่ราคา 200 เหรียญ ไปจนถึง 500 ดอลลาร์แต่ละครั้ง (The New York Times: Federal Inquiry Traced Payments From Gaetz to Women, November 20, 2024)

และอย่าลืมว่า ส.ส.แมตต์ เกตต์ เคยสร้างศัตรูในแวดวงการเมืองในสภาผู้แทนฯมาอย่างมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เขากดดันให้ “ประธานสภาฯเควิน แม็คคาธีร์” ต้องกระเด็นออกจากตำแหน่งจนเป็นผลสำเร็จเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2023

ซึ่ง ส.ส.แมตต์ เกตต์ คงตระหนักอยู่ในใจดีว่า คงจะไม่ได้รับการรับรองจากวุฒิสภา เพราะอย่างน้อยก็คงจะมีวุฒิสมาชิกในค่ายพรรครีพับลิกัน 4 คนที่วางตัวเป็นอิสระสูงจากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่ยอมสนับสนุนเขาอย่างแน่นอน นั่นก็คือ “วุฒิสมาชิกมิตช์ แม็คคอนเนลล์” ผู้นำของพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา “วุฒิสภาชิกลิซา มูร์คอฟสกี” จากรัฐอะแลสกา “วุฒิสมาชิกซูซาน คอลลินส์” แห่งรัฐเมน และ “วุฒิสมาชิกจอห์น เคอร์ติส” แห่งรัฐยูทาห์ที่เพิ่งได้รับเลือกแทนวุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์    (The 4 Republican Senators Matt Gaetz Believed Would Tank His AG Nomination, Newsweek November 21, 2024)

โดยวุฒิสมาชิกทั้งสี่คนนี้อาจจะเข้าไปร่วมผนึกกับวุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครต เท่ากับว่าเขาคงจะไม่ได้รับเสียงรับรองเพียงพอ ที่อย่างน้อยจะต้องได้รับ 51 เสียงขึ้นไป และเนื่องจากขณะนี้พรรครีพับลิกันมีวุฒิสมาชิก นั่งอยู่ในวุฒิสภาเพียง 53 คน โดยพรรคเดโมแครต มีวุฒิสมาชิก 47 คน ทำให้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องทำใจยอมรับว่า ส.ส.แมตต์ เกตต์  คงจะไม่ได้เสียงรับรองอย่างเพียงพอ!!!

ข่าวเรื่องการแต่งตั้งนักการเมืองผู้นี้ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดได้กลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนแวดวงการเมืองถึง 6 วัน ซึ่งเรื่องราวเยี่ยงนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นกับการสรรหาคนเข้าไปร่วมในรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ อีกก็เป็นได้

สืบเนื่องมาจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เสนอชื่อของ “พีต เฮกเซท” ผู้ประกาศข่าวและนักจัดรายการโทรทัศน์ ของ “ช่องฟอกซ์นิวส์” ที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการจะให้เขาเข้ามารับตำแหน่ง “รัฐมนตรีฯกลาโหม” ซึ่งดูๆไปแล้วแน่นอนว่า เขาผู้นี้ขาดประสบการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัย เนื่องจากตำแหน่งรัฐมนตรีฯกลาโหม จะต้องทำหน้าที่รับผิดชอบพนักงานกว่าสองล้านคน ที่เป็นกระทรวงที่แสนสลับซับซ้อนที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว

อีกทั้งอาจจะสร้างความไม่แน่นอนต่อนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ต้องการจะเนรเทศคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯกว่า 11 ล้านคนให้กลับภูมิลำเนาเดิม เพราะหากชาวต่างด้าวเหล่านี้ถูกเนรเทศ ก็อาจจะรวมถึงลูกหลานเยาวชนที่อพยพติดตามพ่อแม่หรือแม้แต่เด็กๆบางคนคลอดและกำเนิดในสหรัฐฯจนได้รับสัญชาติอเมริกันก็ตาม แต่เนื่องจากพ่อแม่ยังไม่ได้รับสัญชาติ พวกเขาก็ยังเด็กและคงจะต้องอพยพไปกับพ่อแม่อย่างที่พวกเขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แต่ต้องติดร่างแหไปด้วย

อีกทั้งชาวต่างด้าวที่ขาดเอกสารและเป็นโรบินฮูด ซึ่งหากถูกเนรเทศ บางคนก็ยังไม่รู้เลยว่า ตนเองจะไปอยู่ประเทศไหน และยังจะให้ธุรกิจบางแห่งที่ต้องพึ่งพาแรงงานของชาวต่างด้าวที่มีทักษะสูงจนมีผลทำให้เดือดร้อนธุรกิจต้องล่มจมอีกต่างหาก!!

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นสมมุติฐานที่กล่าวกันว่า การที่ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย มีผลทำให้มีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ อาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้ ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับ “ส.ส.แมตต์ เกตต์” เพราะฉะนั้น

“ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”อาจจะต้องทำการบ้านในการคัดเลือกเสนอชื่อใครให้เข้ามานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีให้หนักมากยิ่งขึ้น เท่ากับว่าอำนาจถ่วงดุลไม่หนีหายไปไหน ยังคงมีอยู่ในแวดวงการเมืองของสหรัฐอเมริกาละครับ