ทำเอา “ควันออกหู” ด้วยความโมโหโกรธาของ “พญาหมี” อันเป็นนิกเนมของ “รัสเซีย” ที่มีต่อ “เกาหลีใต้” เจ้าของฉายาว่า “โสมขาว” กันเลยทีเดียว
สำหรับ แผนการส่งมอบอาวุธยุทโธปกรณ์ของเกาหลีใต้ ที่มีต่อ “ยูเครน” ประเทศคู่สงครามของรัสเซีย ที่กำลังโรมรันพันตูอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ณ ชั่วโมงนี้
ลำพังการส่งมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์เพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ยูเครน หรือแม้กระทั่งการจัดสรรเม็ดเงินช่วยเหลือมาช่วยยูเครน ทางรัสเซีย ก็บอกว่า “ยังพอทน” แต่นี่! ถึงขั้นที่เกาหลีใต้ จัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ยูเครนโดยตรง ใช้เป็นเครื่องมือประหัตถ์ประหารต่อกำลังพลในกองทัพรัสเซีย ตลอดจนพลเมืองของรัสเซีย ทางการมอสโก รัฐบาลรัสเซีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ถึงกับเอ่ยปากว่า “ไม่สามารถอดทนต่อไปได้”
ว่าแล้ว ทางทำเนียบเครมลิน อันเป็นทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซีย ที่ปัจจุบันอยู่ในอาณัติการกุมบังเหียนโดยประธานาธิบดีปูติน ก็ส่ง “นายอันเดรย์ รูเดนโก” ซึ่งดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย” ออกมาในลักษณะขู่คำรามใส่ต่อเกาหลีใต้ ด้วยความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อแผนการจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ของเกาหลีใต้ไปให้ยูเครนใช้ทำสงครามต่อรัสเซีย
นัยว่า การที่ทำเนียบเครมลิน ยังส่งบุคคลระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการ ออกแสดงปฏิกริยาถึงความไม่พอใจข้างต้นนั้น ก็ต้องบอกว่า รัสเซียยังเหลือเยื่อใยต่อเกาหลีใต้ เพราะนายรูเดนโก ยังไม่มีอำนาจตัดสินใจขั้นเด็ดขาดว่า รัสเซียจะทำอย่างไรต่อไปกับเกาหลีใต้ ไม่เหมือนกับระดับรัฐมนตรีว่าการที่ปัจจุบันมีนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ออกโรงเองเลยนั้น อย่างนี้ต้องถือว่า “น่าสะพรึง” เป็นอย่างยิ่ง เพราะประธานาธิบดีในฐานะประมุขผู้นำประเทศมีอำนาจตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ที่อาจจะถึงขั้นประกาศสงครามกับเกาหลีใต้ ก็สามารถทำได้
ทั้งนี้ ทางรัฐมนตรีช่วยฯ รูเดนโก ยังมีกล่าวถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยระบุว่า อยากจะให้เกาหลีใต้ คิดพิจารณาทบทวนถึงแผนการส่งมอบอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ยูเครนว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ดังกล่าว อาจจะถูกยูเครนนำไปใช้เข่นฆ่าประหัตถ์ประหารพลเมืองชาวรัสเซีย ซึ่งหากมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น ก็จะส่งผลให้ทำลายความสัมพัธ์ระหว่างรัสเซียกับเกาหลีใต้ไปอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ดี แม้จะมีการอ้างอิงถึงความสัมพันธ์อันดี แต่ก็มิวายที่รัฐมนตรีช่วยฯ รูเดนโก ก็มีคำขู่อยู่กลายๆ ต่อเกาหลีใต้ด้วยเช่นกัน
โดยรัฐมนตรีช่วยฯ รูเดนโก กล่าวว่า รัสเซียจะตอบโต้ในทุกวิถีทางตามความจำเป็น หากพบว่าอาวุธจากเกาหลีใต้ถูกกองทัพยูเครนนำมาใช่เข่นฆ่าพลเมืองชาวรัสเซีย ซึ่งทางรัสเซียถือว่า เกาหลีใต้มิได้กระทำไปเพื่อพิทักษ์ปกป้องตนเอง เพราะสงครามรัสเซีย-ยูเครน มิได้ส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ที่เป็นภัยคุกคามความมั่นคงต่อเกาหลีใต้
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ทางประธานาธิบดียุน ซุก ยอล ผู้นำเกาหลีใต้ กล่าวในลักษณะท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้เกี่ยวกับแผนการจัดส่งอาวุธไปให้แก่ยูเครน ใช้ทำสงครามต่อต้านรัสเซีย
โดยคำกล่าวของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ข้างต้น มีขึ้นภายหลังจากเกิดการตื่นตัวไปทั่วแดนโสมขาว หลังจากมีรายงานว่า “เกาหลีเหนือ” ประเทศเจ้าของฉายา “โสมแดง” คู่ปรปักษ์เกาหลีใต้ ที่ถึงแม้เป็นชนเชื้อชาติเกาหลีด้วยกัน ได้ส่งทหารไปช่วยรัสเซียสู้รบกับยูเครน ในสมรภูมิ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” จำนวนถึง 11,000 นาย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นทหารระดับหน่วยรบพิเศษหลายพันนายด้วยกัน
ทั้งนี้ การที่เกาหลีเหนือ ส่งทหารจำนวนนับหมื่นนาย ไปร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารกองทัพรัสเซีย ในสมรภูมิเลือดยูเครนนั้น ทางบรรดาผู้เชี่ยวชาญทางการทหารในเกาหลีใต้ ได้วิเคราะห์วิจารณ์แสดงทรรศนะว่า จะเป็นการช่วยเพิ่มพูนประสิทธิภาพขีดความสามารถทางการรบให้แก่กำลังพลของกองทัพเกาหลีเหนือได้เป็นอย่างดี จากการที่ไปสู้รบในสมรภูมิเลือดจริงๆ แตกต่างจากกองทัพเกาหลีใต้ ที่แม้จะผ่านการฝึกซ้อมรบเป็นประจำทุกปีกับบรรดากองทัพของเหล่าชาติมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น แต่ทว่า กองทัพเกาหลีใต้ ก็ห่างว่างเว้นจากการรบในสมรภูมิรบจริงๆ มาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ดังนั้น หากเกิดการสู้รบระหว่างกองทัพเกาหลีเหนือกับกองทัพเกาหลีใต้ขึ้นมาจริงๆ นับจากนี้ กองทัพเกาหลีใต้อาจเพลี่ยงพล้ำให้แก่กองทัพเกาหลีเหนือก็เป็นได้
ด้วยประการฉะนี้ เกาหลีใต้ จึงไม่ตัดทิ้งตัวเลือกในแผนการส่งอาวุธไปให้แก่ยูเครนใช้ในการทำศึก ซึ่งทางเกาหลีใต้ ก็จะได้ใช้เป็นโอกาส เพื่อการวิจัยพัฒนาต่อยอดอาวุธที่พวกเขาผลิตขึ้น ซึ่งจากเดิมก็พัฒนาต่อยอดมาจากอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ได้รับความช่วยเหลือมาจากเหล่าชาติตะวันตกแต่เก่าก่อนมา เช่น รถถัง ยานรบหุ้มเกราะชนิดต่างๆ และระบบขีปนาวุธพิสัยทำการต่างๆ ที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีชั้นสูง เป็นต้น ซึ่งจากการพัฒนาต่อยอดข้างต้น ก็ส่งผลทำให้เกาหลีใต้ ก้าวทะยานขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกอาวุธสงคราม นอกเหนือจากการไว้ใช้ป้องกันประเทศ ที่เกาหลีใต้ เผชิญหน้ากับภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากเกาหลีเหนือ ในฐานะศัตรูคู่อาฆาตหมายเลขหนึ่งของพวกเขาเป็นทุนเดิมมาตั้งแต่ยุค “สงครามเกาหลี” เมื่อ 7 ทศวรรษก่อนแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงการส่งออกอาวุธของเกาหลีใต้นั้น ได้ถูกพัฒนาไปเป็นอย่างมาก ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูงของพวกเขา ส่งผลให้เกาหลีใต้ กลายเป็นผู้ส่งออกอาวุธสงครามระดับ 1 ใน 10 หรือท็อปเทนของโลก ด้วยมูลค่าแต่ละปีนับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เฉพาะในปี 2023 (พ.ศ. 2566) ที่ผ่านมา เกาหลีใต้ก็มีมูลค่าส่งออกอาวุธไปยังประเทศต่างๆ จำนวนมากถึง 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับตัวเลขกลมๆ (คิดเป็นเงินไทยก็ราวกว่า 485,000 ล้านบาท) จากการขายอาวุธให้แก่กองทัพของชาติลูกค้าไม่ต่ำกว่า 12 ประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มด้วยว่า เกาหลีใต้จะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศ 1 ใน 4 ของผู้ส่งออกอาวุธสงครามรายใหญ่ ตามหลังเพียงสหรัฐฯ รัสเซีย และฝรั่งเศส ที่รั้งอันดับ 1, 2, 3 โดยเบียดแทนที่ “จีน” ที่อยู่อันดับ 4 ณ ชั่วโมงนี้ ภายในปี 2027 (พ.ศ. 2570) ตามเป้าหมายที่ทางการโสมขาวตั้งใจไว้