“จิรายุส บิทคับ” ชี้ถึงเวลาใช้ “บิทคอยน์” นำส่งทุนสำรองประเทศ ช้าตามไม่ทันอาจขาดดุลมหาศาล เพราะโลกเดินหน้าไปมาก

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวถึงการนำ AI และเทคโนโลยีมาใช้ และทิศทางของ Digital Economy ที่ส่งผลต่อประเทศไทยและอาเซียนว่า ถ้าหากมองจีดีพีไทยนั้น รายได้ต่าง ๆ ที่ประเทศสร้าง ส่วนใหญ่จะมาจากอุตสาหกรรมเก่าที่จับต้องได้ เช่น ส่งออกข้าวหอมมะลิ ยางพารา และชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งมีผลประกอบการน้อย ไม่สามารถแบ่งผลกำไรได้เพียงพอต่อการยกระดับเงินเดือนที่เป็นภาพรวมของประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางมาถึง 20 ปี แต่ถ้าหันไปมองประเทศที่พัฒนาแล้ว จะเห็นว่ามีการผลักดันในอุตสาหกรรมที่จับต้องไม่ได้แทนมากขึ้น เช่น  Facebook บริการจากสหรัฐอเมริกา มีรายได้มากศาล หรือประเทศไทย ได้แก่ การท่องเที่ยวไทย ที่มีบริการที่ไม่ต้องผลิตอะไรออกมาจำหน่ายเหมือนเหมือนอุตสาหกรรมเก่าที่ต้องมีสินค้ามาแสดงเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า และในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ Digital service Trade  โดยจะมีการนำ AI มาทำงานแทนคนมากขึ้น ซึ่งระบบ AI นั้น เป็นการพัฒนาจากต่างชาติ ที่นำมาขายให้คนไทย อาทิ Facebook Instagram Uber และ Grab ทำให้ประเทศไทยขาดรายได้  เพราเก็บภาษีไม่ได้100% ซึ่งหากพิจารณาเป็นตัวเลขเศรษฐกิจดิจิตอลก็จะเป็นตัวเลขขาดดุลมหาศาล และในอนาคตเศรษฐกิจดิจิตอลก็จะใหญ่มากขึ้น เห็นได้จากตอนนี้ประเทศจีนเศรษฐกิจดิจิตอลขึ้นไปถึง 44% ของจีดีพีประเทศที่มาจากการจับต้องไม่ได้ หรือ Digital service Trade ซึ่งประเทศไทยส่วนใหญ่เกือบ 100% ยังไม่มีกิจกรรมใหม่ๆที่มาจากการนำระบบ AI มาใช้ในการสร้างรายได้ 

ทั้งนี้การนำระบบ AI มาใช้งานนั้น จะเป็นการสร้าง Digital service Trade ที่จะสามารถสร้างรายได้ใหม่ๆให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรที่จะลงทุนเพื่อปฎิรูปอุตสาหกรรมที่เป็นบริบทใหม่ของโลกอนาคต และทำให้ประเทศไทยหลุดจากเป็นประเทศในกลุ่มรายได้ปานกลางได้ และยังจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว

นายจิรายุส กล่าวถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ที่จะส่งต่อเศรษฐกิจ และอาเซียนว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีความชัดเจนที่จะนำบิทคอยน์มาเป็นส่วนหนึ่งในทุนสำรองประเทศ ตอนนี้สหรัฐมี 210,000 บิทคอยน์ ,จีนมี 190,000 บิทคอยน์ อังกฤษ 80,000 บิทคอยน์ และภูฏานใช้ 20% ของจีดีพีประเทศเก็บเป็นบิทคอยน์ ซึ่งถ้าประเทศไทยช้าอนาคตจะต้องใช้เงินมหาศาลในการเก็บบิทคอยน์ ส่งผลให้ขาดดุลจำนวนมาก ดังนั้นถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องศึกษาการเงินรูปแบบใหม่โดนด่วนก่อนที่จะเสียโอกาสในอนาคต เพราะโลกได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางนี้แล้ว โดยเงินจะไม่ใช่กระดาษ แต่จะเป็นดิจิตอลแทน

“กฎหมายที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิตอลนั้น ประเทศไทยถือว่ามีความก้าวหน้าอย่างมากในประเทศแทบอาเซียน แต่อยู่ที่รัฐบาล และธนาคารแห่งประเทศไทยต้องใช้บิทคอยน์มาเป็นทุนสำรอง ซึ่งอาจจะต้องพิจารณาโดยด่วน ก่อนที่ต้นทุนจะมีสูงขึ้นมากกว่านี้จะทำให้ประเทศขาดดุลมหาศาล และการออกสกุลเงินดิจิตอลโดยแบงก์ชาติที่สอดคล้องกับการเดินหน้าของโลกอนาคต”