วันที่ 28 พ.ย.67 รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และการต่างประเทศ โพสต์คลิปให้สัมภาษณ์ใน TOP NEWS LIVE ผ่านเฟซบุ๊ก Panitan Wattanayagorn พร้อมระบุข้อความว่า...

ระวังศึกสามเส้า

1. หลายปีที่ผ่านมา มีการขยายฐานปฏิบัติการและเพิ่มกำลังพลของกองทัพสหรัฐว้า (United WA State Army - UWSA) หรือ "ว้าแดง" ในหลายพื้นที่ของรัฐฉานในประเทศเมียนมา โดยเฉพาะที่ติดกับพรมแดนไทยในภาคเหนือ เช่น ที่บริเวณดอยหัวม้า อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ที่บริเวณตรงข้ามหมู่บ้านแปกแซม ฐานดอยไฟ อ.เวียงแห ที่บริเวณดอยหัวไก่และดอยถ้วย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ อย่างคึกคักและผิดสังเกต

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากสงครามกลางเมืองของเมียนมาที่ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง ประกอบกับทหารพม่า (Tatmadaw) อ่อนแอลง ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เหมือนในอดีต อีกทั้งยังมีขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติและยาเสพติดที่เติบโตมากขึ้น รวมทั้งยังมีการสนับสนุนของต่างชาติและมหาอำนาจให้กับกองกำลังต่าง ๆ ที่สู้รบกันในขณะนี้อีกด้วย

2. ปัจจุบันมีรายงานข่าวว่าการขยายฐานปฏิบัติการและกำลังพลของว้าแดงดังกล่าวที่ได้เข้ามาตั้งกองกำลังตามแนวพรมแดนไทย-เมียนมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 นั้น รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทย เช่นที่บริเวณดอยหัวม้า ต.เวียงเหนือ และที่อื่น ๆ ในบริเวณพรมแดนของสองจังหวัดภาคเหนือกับเมียนมาอีกหลายแห่งอย่างหมิ่นเหม่ต่อการรุกล้ำอธิปไตยและดินแดนของไทย

3. ฝ่ายไทยโดยกองกำลังป้องกันชายแดน กองทัพบก คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา (Township Border Committee - TBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee - RBC) ได้ประสานพบปะพูดคุย รวมทั้งประท้วงให้กองกำลังของว้าแดงปรับย้ายและถอนกำลังออกจากพื้นที่หลายครั้ง ทั้งโดยตรงระหว่างกองกำลังในพื้นที่และผ่านทหารพม่าในการประชุม RBC รวมทั้งมีการพบปะหารือกับทูตเมียนมาในเรื่องดังกล่าว ซึ่งฝ่ายว้า ทหารพม่า และผู้แทนทางการทูตเมียนมาก็ตอบรับการพูดคุยเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่มีผลคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแต่อย่างใด

ล่าสุดมีรายข่าวว่าโฆษกของว้าแดงยอมรับว่าฝ่ายไทยได้แจ้งให้ถอนกำลังและย้ายฐานปฏิบัติการออกจากพื้นที่ภายในเวลากลางเดือนธันวาคมนี้ และก็ยังมีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่าทั้งสองฝ่ายได้เสริมกำลังทหารและอาวุธเข้าไปในพื้นที่เพิ่มขึ้น

4. สาเหตุสำคัญที่เป็นอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในรอบหลายปีที่ผ่านมาเพราะทางกองกำลังกองทัพสหรัฐว้าเห็นว่ายังไม่มีการปักปันเขตแดนระหว่างเมียนมากับไทยอย่างชัดเจน ฝ่ายไทยจึงควรนำเรื่องนี้ไปดำเนินการในคณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Border Committee - JBC) กับผู้แทนของประเทศเมียนมาก่อนที่จะมีการย้ายฐานกำลัง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบหรือเสียเปรียบในเรื่องเขตแดน

ส่วนฝ่ายทหารพม่า ถึงแม้ว่าจะเป็นศัตรูกับว้าแดง ก็เห็นเช่นเดียวกันในเรื่องนี้ คือเห็นว่าฝ่ายไทยควรจะนำเรื่องนี้ไปตกลงกันในที่ประชุม JBC อีกทั้งทหารพม่ายังอ้างว่าในการประชุม RBC ที่ผ่านมาหลายครั้งระหว่างทางการไทยกับเมียนมา ก็ไม่มีการระบุว่ามีฐานกำลังของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมาอยู่ในดินแดนของไทยแต่อย่างใด ดังนั้นฐานกำลังของว้าแดงดังกล่าวจึงตั้งอยู่ในดินแดนของเมียนมา

5. ด้วยจุดยืนที่แตกต่างกันและด้วยสถานการณ์ที่ผกผันมากขึ้นในเมียนมา อีกทั้งยังมีเรื่องผลประโยชน์ตามแนวชายแดนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น แนวโน้มที่ไทยจะต้องเผชิญกับศึกหลายด้านทั้งกับทหารพม่าและกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยในอนาคตจึงมากขึ้น และว้าแดงก็อาจจะไม่ใช่ชนกลุ่มน้อยกลุ่มเดียวในบรรดาเกือบยี่สิบกลุ่มที่ติดอาวุธสู้รบกันในขณะนี้ เพราะยังมีการวางกำลังตามแนวชายแดนไทยของกองทัพรัฐฉาน (Shan State Army - SSA) กองกำลังพรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี (Karenni National Progressive Party - KNPP) กองกำลังแห่งชาติว้า (Wa National Army - WNA) และกองกำลังกบฏมุสลิม ที่หมิ่นเหม่ต่อการรุกล้ำอธิปไตยของไทยที่ต้องตรวจสอบอีกด้วย

ที่สำคัญ รัฐบาลอาจจะต้องเผชิญกับการประท้วงและกดดันจากกลุ่มคนไทยในประเทศที่เป็นห่วงเอกราช อธิปไตย และดินแดนของประเทศให้แก้ปัญหาเหล่านี้ ซึ่งในอดีตก็เคยเกิดขึ้นมาในเรื่องปราสาทพระวิหาร หรือเรื่องพรมแดนกับประเทศรอบบ้าน ในปัจจุบันก็มีประเด็นเรื่อง MOU44 เกาะกูดและพื้นที่อ้างสิทธิซ้อนทับกันในทะเลกับกัมพูชาด้วย สุดท้ายแล้ว ศึกสามเส้าหรือหลายเส้าที่หลายคนไม่อยากจะเห็นทั้งในประเทศและกับเพื่อนบ้านรอบด้านก็อาจจะเกิดขึ้นจริง

6. สำนักงานสภาความมั่นคง (สมช.) มีกลไกที่สามารถใช้แก้ไขหรือป้องกันปัญหาดังกล่าวได้ เช่น การประชุมสภาความมั่นคงนัดพิเศษหรือตามรอบปกติที่เร็วขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เกิดความชัดเจนในเชิงนโยบายและช่วยกำกับแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ ให้สอดคล้องกัน โดยไม่ให้ใครแตกแถวไปดำเนินการอะไรตามลำพัง ซึ่งอาจจะทำให้ประเทศเสียเปรียบหรือทำให้เหตุการณ์บานปลายได้โดยไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะในการปฏิบัติของกองกำลังในพื้นที่ ของเหล่าทัพ ของกระทรวงการต่างประเทศ หรือกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น โดยให้น้ำหนักอย่างเหมาะสมกับการดำเนินการใน 3 ระดับที่มีอยู่แล้วอย่างเป็นสัดส่วนกับข้อเท็จจริง คือ

1) ระดับแรก: มุ่งเน้นการพูดคุยเจรจาผ่านทุกกลไกที่มีอยู่แล้วอย่างจริงจังและเปิดเผย

2) ระดับที่สอง: ดำเนินการกดดันทั้งว้าแดง ชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ทหารพม่าและรัฐบาลประเทศเมียนมา ตามช่องทางต่าง ๆ อย่างเหมาะสม เป็นระบบและต่อเนื่อง ทั้งทางด้านการเข้าออกผ่านแดน การพำนักอาศัย การค้าชายแดน ตลอดจนความสัมพันธ์พิเศษต่าง ๆ ทั้งด้านการทหาร ความมั่นคงและอื่น ๆ รวมทั้งการเสริมกำลังในพื้นที่อย่างเหมาะสม และ

3) ระดับที่สาม: หากจำเป็นต้องใช้กำลังเพื่อรักษาดินแดนและอธิปไตย จะต้องรอบคอบโดยให้เป็นไปตามกฏหมายของไทยและตามกติกาสากล

ทั้งนี้ ประชาชนคนไทยทั่วไปก็คงจะต้องให้กำลังใจผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องและปลอดภัยต่อคนไทย ต่อเอกราชอธิปไตย ต่อดินแดนของประเทศไทยและต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับประเทศเพื่อนบ้าน