“กองปราบปราม” นำส่งสำนวนคดี”แอม ไซยาไนด์ ที่เหลืออีก 14 คดี ส่งอัยการ หลังพบหลักฐานก่อเหตุวางยาผู้เสียหายรายอื่นอีกหลายราย มั่นใจอัยการพิจารณาสั่งฟ้อง
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาฯ เมื่อวันที่ 26 พ.ย.67 พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธํารงค์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และพ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. พร้อมด้วยพนักงานสอบสวน บก.ป. นำสำนวนการสอบสวนผู้เสียชีวิตจากการถูก นางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือแอม ไซยาไนด์ วางยาพิษ 14 คดี ส่งมอบให้แก่ นายสัญจัย จันทร์ผ่อง อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา
สำหรับคดีลอบวางยาพิษทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 คน ประกอบด้วย 1.นางลัดดา ขาวอินทร์ 2.ด.ต.นิติพลธ์ นุชิต 3.พ.ต.อ.จามร อันดี 4.นายเกิด แก้วบุบผา 5.นางพวงแก้ว วงษ์สวัสดิ์ 6.พระสมเกียรติ ทรพับ 7.นายเท่ง โตไร่ 8.นายสงกรานต์ ธรรมสังวาลย์ 9.นายฐิฎิชัยเดช วงศ์ไกรสิณ 10.พ.อ.สายชล พจนารถ 11.น.ส.นภพรรณ ยรรยงชัยกิจ 12.นางกานติมา แพสอาด 13.นายไพบูลย์ สามบุญมี และ14.นางสาคร แสนจันทร์
โดยทั้งหมดกล่าวหา นางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ ในความผิดข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์วันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือพืชหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ และปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้หลักการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพ โดนเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย
พล.ต.ท.ธนายุตม์ เปิดเผยว่า คดีนี้ตนได้รับการมอบหมายให้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน โดยมีทีมพนักงานสอบสวนของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และตำรวจภูธรในพื้นที่จังหวัดที่พบผู้เสียชีวิตเข้าร่วมการสอบสวนรวมทั้งสิ้น 14 สำนวน สืบเนื่องจากคดีหลักที่ศาลได้พิพากษาคดีแรก เกิดขึ้นในพื้นที่ สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดย ผบช.ภ. 7 ได้ทำคดีมาอย่างต่อเนื่อง และนำสำนวนการสอบสวนให้ บช.ก. ทำการรวบรวมพยานหลักฐาน และทำการสืบสวนสอบสวนทั้ง 14 สำนวน มีการประชุมรวบรวมพยานหลักฐาน พยานเอกสาร พยานบุคคล และผู้ชำนาญการ เชื่อมโยงร้อยเรียงสำนวนในแผนประทุษกรรมของแอม ในการกระทำความผิดครั้งนี้มีการไตร่ตรองไว้ก่อน มีมูลเหตุจูงใจวางแผนเชื่อมโยง ทุกสำนวนสอบสวนกองปราบปรามได้ร่วมมือกับทางนครบาลและภูธรติดตามคดีอย่างต่อเนื่อง และมีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง แอม ทั้ง 14 สำนวน
โดยการกระทำความผิดของคนร้ายรายนี้มีผู้เสียชีวิต 14 คน รอดชีวิตเพียง 1 คน หากไม่สามารถจับกุมได้อาจมีผู้เสียชีวิตมากกว่านี้ พฤติกรรมของคนร้ายมีความโหดเหี้ยม เลือดเย็น ใช้สารเคมีในอาหารและเครื่องดื่มเป็นอันตรายต่อชีวิต เป็นการฆ่าแบบต่อเนื่อง ต้องขอขอบคุณพนักงานสืบสวนสอบสวนที่ได้ทำงานกันอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ผบ.ตร.คาดหวังจะคืนความเป็นธรรมให้แก่พี่น้องประชาชนและญาติผู้เสียชีวิตทุกคน ศาลและอัยการได้คืนความเป็นธรรมให้แก่ น.ส.ศิริพร หรือ ก้อย ผู้เสียชีวิตในคดีแรกได้ และทั้ง 14 คดีนี้ เป็นคดีที่สำคัญตนจึงเดินทางมามอบสำนวนให้แก่อัยการด้วยตัวเอง
พล.ต.ท.ธนายุตม์ กล่าวว่า การพิจารณาสำนวนตัดสินคดี น.ส.ศิริพร หรือก้อย นั้น ทีมพนักงานสอบสวนได้นำคำพิพากษามาปรึกษากัน เพื่อเชื่อมโยงและร้อยเรียงการสอบสวนรวมถึงพฤติกรรมแผนประทุษกรรมของคนร้ายและสาเหตุว่ามีมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุอย่างไร แม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์แต่ทีมพนักงานสืบสวนสอบสวนมั่นใจพยานหลักฐานทุกอย่างทั้งพยานบุคคล พยานเอกสารและพยานนิติวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะพยานด้านนิติวิทยาศาสตร์ที่ไม่สามารถโกหกหลอกลวงได้ จะยืนยันการกระทำความผิดของผู้ต้องหารายนี้ ขอให้ญาติผู้เสียชีวิตทั้งหมดมั่นใจได้ว่า ตำรวจให้ความสำคัญทั้งหมด รวมถึงในชั้นสืบพยานคดีนี้ด้วย ส่วนคำพิพากษาอยู่ที่ดุลพินิจของศาลว่าจะลงโทษผู้ต้องหาอย่างไร ส่วนการอุทธรณ์คดีคำพิพากษาของน.ส.ศิริพร หรือก้อย นั้น ทางพนักงานสอบสวนได้มีการปรึกษาหารือกับทางอัยการมาโดยตลอด และเชื่อว่ามั่นจะสามารถดำเนินการอย่างดีที่สุดในชั้นศาลอุทธรณ์
พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. เปิดเผยว่า มีความมั่นใจว่าทั้ง 14 คดี มีพยานหลักฐานเพียงพอที่พนักงานอัยการจะพิจารณาสั่งฟ้องได้ ซึ่งการส่งสำนวนในวันนี้จะมี พลตำรวจโท ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้นำสำนวนทั้งหมดมอบให้แก่พนักงานอัยการด้วยตนเอง
ด้านนายสัญจัย จันทร์ผ่อง อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา ได้รับสำนวนจากทางตำรวจทั้ง 14 สำนวน ขั้นตอนต่อไปจะมอบหมายให้อัยการพิจารณาสำนวนและดำเนินการในขั้นตอนต่อไป เมื่อสำนวนมีจำนวนมากจะต้องมีการพิจารณาที่จะจ่ายสำนวนให้แก่พนักงานอัยการในการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง สำหรับผลคำพิพากษาในคดีแรกนั้นก็จะต้องดูเป็นรายคดีไป ยังบอกไม่ได้ว่าจะมีผลต่อคดีอื่นหรือไม่อย่างไร ต้องพิจารณาเป็นรายคดี