อ่าวคุ้งกระเบนจังหวัดจันทบุรีเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความสำคัญด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย ด้วยสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่หลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่ป่าชายเลน น้ำกร่อย น้ำทะเลตื้น ไปจนถึงปะการัง อ่าวแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดที่เชื่อมโยงกันในระบบนิเวศที่สมดุล 

มีการกล่าวอ้างของคนบางกลุ่มที่พยายามสร้างความกังวลว่า “อ่าวคุ้งกระเบน” สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพจาก “ปลาหมอคางดำ” ซึ่งดูจะไม่สอดคล้องกับข้อมูลของประมงจังหวัดอย่างสิ้นเชิง  ด้วยข้อมูลของประมงจังหวัดจันทบุรี ยืนยันว่าจากการลงแขกลงคลองตรวจจับปลาหมอคางดำในอ่าวคุ้งกระเบนทุกครั้ง จะพบปลาหมอคางดำปะปนมากับปลาอื่นๆ อีกเกือบ 20 ชนิด อาทิ ปลากะพง ปลานวลจันทร์ ปลาสาก ปลาขนุน ตอกย้ำถึงความหลากหลายทางชีวภาพของที่นี่ที่ยังอยู่ในสภาพสมดุล จากความร่วมมือของชาวบ้าน เกษตรกรและประชาชน ก่อเกิดพลังในการเฝ้าระวังและดูแลสิ่งแวดล้อม เมื่อประกอบกับระดับความเค็มของน้ำในอ่าวและเหล่าปลานักล่าเจ้าถิ่น ทำให้ปลาต่างถิ่นอย่างปลาหมอคางดำยากที่มีชีวิตรอด  การค้นพบดังกล่าวไม่เพียงแสดงถึงความหลากหลายของทรัพยากร แต่ยังชี้ให้เห็นถึงระบบนิเวศที่ยังคงสมบูรณ์ แม้จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมบางอย่าง  

ยิ่งเมื่อภาครัฐอย่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ยืนยันอีกเสียงว่าการสำรวจปลาหมอคางดำในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก พบเพียงที่ จ.ระยองและ จ.จันทบุรีเท่านั้น โดยในเดือนกันยายน 2567 พบปลาหมอคางดำ ณ บริเวณอ่าวคุ้งกระเบนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ส่วนที่ จ.ตราด ยังไม่พบปลาดังกล่าวในแนวปะการังแต่อย่างใด  จึงยิ่งไม่เข้าใจว่า กลุ่มคนที่พยายามบิดเบือนข้อมูลจำนวนปลาหมอคางดำให้สวนทางกับข้อเท็จจริงนั้น ทำไปเพื่อประโยชน์อันใด 

ประมงจังหวัดจันทบุรีได้บูรณาการทุกภาคส่วนดำเนิน 3 ยุทธวิธีแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน แก้ปัญหาปลาหมอคางดำ ประกอบด้วย การจัดกิจกรรมล่าปลาหมอคางดำตัวใหญ่ การปล่อยปลาผู้ล่าหลายชนิดเพื่อกำจัดลูกอ่อนของปลาหมอคางดำ ทั้งปลากะพง ปลาอีกง ปลาปิ่นแก้ว เป็นต้น รวมถึง การสร้างการรับรู้ของประชาชน ขอความร่วมมือชาวประมงให้ช่วยกันจับปลาชนิดนี้ขึ้นมาจากแหล่งน้ำให้เร็วที่สุดจนเกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม  ความพยายามบิดเบือนข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจึงบั่นทอนกำลังใจในการช่วยแก้ปัญหาของทุกภาคส่วนอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น 

นอกจากนี้ นักวิชาการบางคน ยังเสนอตัวเลขว่ากิจกรรมจับปลาหมอคางดำที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกรช่วยกันนั้น กำจัดปลาได้เพียง 30% ซึ่งไม่มีหลักฐานแหล่งที่มาของตัวเลขดังกล่าว แม้แต่ภาครัฐเองก็ยังไม่เคยเห็นตัวเลขนี้ หรือจะเป็นการคาดคะเนอย่างอคติเพื่อประโยชน์พวกพ้องก็ไม่อาจคาดเดา 

ปัจจุบันการกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติสามารถจำกัดปริมาณปลาได้มากแล้ว เพียงแต่ต้องดำเนินโครงการกำจัดอย่างต่อเนื่อง อย่าเว้นช่วงให้มันสามารถแพร่พันธุ์ได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “บ่อร้าง” ที่มีจำนวนไม่น้อยในแต่ละจังหวัด แว่วว่ากรมประมงมีการลงพื้นที่สำรวจใน 4 จังหวัดนำร่องจนเกือบแล้วเสร็จ จากนั้นจะเริ่มใช้กฎหมายเข้มข้นในการตรวจจับปลาตามบ่อร้างต่างๆ อย่างเข้มข้นต่อไป ซึ่งจะเป็นอีกมาตรการที่จะช่วยให้ปริมาณปลาหมอคางดำลดลงได้อีกมาก ช่วยลดความเสี่ยงที่ปลาหมอคางดำจะหลุดรอดจากบ่อร้างออกสู่แหล่งน้ำธรรมชาติได้อย่างมีนัยสำคัญ 

อย่างไรก็ตาม กำลังใจให้คนทำงานเป็นสิ่งสำคัญ โปรดอย่าบั่นทอนให้เสียหาย แม้การลงมือทำกับไม่ทำอะไรเลยจะต่างกันลิบลับ แต่การไม่ทำอะไรเลยก็ยังดีกว่าการเดินสายให้ข้อมูลบิดเบือน ซึ่งเข้าทำนองมือไม่พายแล้วยังเอาเท้าราน้ำ

โดย : วงษ์อร อร่ามกูล