"รอง ผบช.ก." เร่งหาพยานหลักฐานดำเนินคดี "ทนายตั้ม" โกง "เจ๊อ้อย" มูลค่า 39 ล้าน แย้มเอาผิดผู้ร่วมขบวนการเพิ่มอีก 1-2 ราย เร็วๆ นี้ "ทนายสายหยุด" แจงปมเหตุถอนตัว หลังกล่อม "ตั้ม" สารภาพคดี 39 ล้าน แต่ไม่ยอม ซ้ำมีเรื่องเอกสารเท็จ หวั่นตัวเองโดนด้วยเหมือนคดี "แอม ไซยาไนด์"
เมื่อวันที่ 25 พ.ย.67 พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. เปิดเผยความคืบหน้าคดี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ฉ้อโกง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ พี่อ้อย ว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานจากพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับทนายตั้มในกรณีเงิน 39 ล้านบาท อย่างไรก็ตามอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการพิจารณาและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อชี้ชัดว่าผู้ใดมีส่วนร่วมกระทำความผิด หรือมีเจตนาเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าว เบื้องต้นพบว่าอาจมีผู้กระทำความผิดเพิ่มเติมอีกประมาณ 1-2 ราย ซึ่งจำนวนผู้ร่วมกระทำความผิดอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับผลการสอบสวน
"เจ้าหน้าที่จะเร่งสรุปสำนวนเพื่อขอศาลออกหมายเรียกหรือหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ และจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป"
วันเดียวกัน นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม กล่าวในรายการ "โหนกระแส" ว่า การทำคดีให้ทนายตั้มที่ถูก "เจ๊อ้อย" จตุพร อุบลเลิศ ฟ้องฐานฉ้อโกงนั้น เดิมตนรับผิดชอบ 3 คดีหลักคือ คดี 71 ล้าน, คดีซื้อรถเบนซ์กินส่วนต่าง 1.5 ล้าน และคดีโกงค่าออกแบบโรงแรม แต่ต่อมามีคดี 39 ล้าน ซึ่งตนมองว่า ไม่มีทางสู้ได้ จึงแนะนำให้ทนายตั้มรับสารภาพ เพราะจะโยงถึง 3 คดีแรกด้วย เนื่องจากตำรวจรวมกันทำเป็นคดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระ แต่ทนายตั้ม ยืนยันว่าไม่สารภาพ ยืนยันสู้ทุกคดี อ้างว่าตนเองไม่เกี่ยวข้อง แต่มีหลักฐานที่คนที่ไปขนเงินเขารับสารภาพแล้วว่าไปรับเงินเองและเอาเงินมาให้ ตนจึงตัดสินใจไม่ทำคดีนี้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการใช้เอกสารปลอมที่ตำรวจกำลังจะแจ้งข้อหา เมื่อเช้าตนไปพบทนายตั้มที่เรือนจำแล้ว ได้บอกเขาว่าอึดอัด และบอกไปว่าเอกสารสัญญาจ้างทำแอปพลิเคชั่นหวยออนไลน์ 71 ล้าน ที่ทนายตั้มให้มานั้น ไม่มีลายเซ็น แตกต่างจากที่ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เคยเอามาโชว์ในรายการโหนกระแส ซึ่งถ้าตนเองเอาไปอ้างใช้ กลัวว่าจะมีความผิด เหมือนทนายพัชคดีแอม ไซยาไนด์