เมื่อเวลา 12:10 น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัตร์ หรือทนายพัช ทนายความของนางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์หรือแอม ไซยาไนด์ เดินทางมายังศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความในคดีแอม ไซยาไนด์
ปรากฏว่าเมื่อทนายพัชเดินทางมาถึงที่ศาล ก็ได้พบเจอโดยบังเอิญกับทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ซึ่งเป็นทนายฝ่ายผู้เสียหายในคดีแอม ไซยาไนด์ ขณะที่ทนายเดชาเดินลงมาจากศาลพอดี ทั้งคู่ได้เดินปรี่เข้าไปพูดให้กำลังใจและหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน แล้วได้จับไม้จับมือกันต่อหน้าสื่อมวลชน
จากนั้นทั้งคู่ได้กอดคอให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยทางทนายเดชาระบุว่า ที่จับมือกันก็เพื่อเป็นการให้กำลังใจทั้งฝ่ายทนายพัช โดยทางทนายพัชก็ได้พูดตอบกลับว่า ตัวทนายเดชาเองเป็นทนายอาวุโส ตนก็นับถือในฐานะทนายรุ่นพี่และเป็นคนที่น่ารัก เวลาอยู่ในศาลก็จะแสดงบทบาทกันไป แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสื่อ เราทั้งคู่ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง
ทนายเดชากล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ตนให้กำลังใจทนายพัช เพราะเนื่องจากตนได้มีโอกาสพูดคุยกับอัยการผู้อุทธรณ์คดีนี้ โดยเปิดเผยว่า จะยื่นอุทธรณ์ขอเพิ่มโทษจำคุกของทนายพัชจาก 2 ปี เป็น 5 ปี ส่วนของอดีตสามีแอมจะเพิ่มโทษหรือไม่ ตนไม่ทราบ ซึ่งเรื่องการอุทธรณ์เพิ่มโทษนั้น ก็ถือเป็นเรื่องปกติในทางกฎหมาย โดยในส่วนนี้ก็เป็นเรื่องที่ทางทนายพัชก็ต้องดำเนินการต่อสู้คดีต่อไป แต่จะถึงชั้นฎีกาเมื่อไหร่นั้น ตนไม่ทราบ
ทนายพัชจึงถามทนายเดชากลับว่า สมมุติว่าในคดีส่วนของทนายพัชถูกยกฟ้อง ทนายเดชาจะดีใจหรือไม่ ทนายเดชาบอกว่า "ดีใจ" ก่อนถามทนายพัชกลับไปว่า ทนายพัชไม่ได้ทำใช่ไหม แล้วทำไมแอมถึงให้การซัดทอด ทนายพัชพูดกลับเชิงหยอกล้อว่า ไม่พูด เพราะอยู่ต่อหน้าศาล
ต่อมาทนายพัชได้เปิดใจกับสื่อมวลชนในเรื่องการยื่นถอนตัวออกจากคดีแอมว่า วันนี้ตนจะยื่นคำร้องเพื่อถอนตัวออกจากคดีดังกล่าวจริง โดยจะถอนทั้งคดีในส่วนของ น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือก้อยที่มีคำพิพากษาไปแล้ว และอีก 14 คดีที่พนักงานอัยการจะยื่นส่งฟ้องต่อศาลในวันพรุ่งนี้ (26 พฤศจิกายน) แต่ในเรื่องของรายละเอียดการถอนตัวนั้น ตนจะทำหนังสือแถลงการณ์แจ้งไปยังสื่อมวลชนอีกครั้ง
ส่วนสาเหตุเท่าที่เปิดเผยได้ เนื่องมาจากความคิดเห็นระหว่างตนและลูกความไม่ตรงกันในหลายประเด็น แต่ในส่วนตรงนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเป็นความลับของลูกความ ซึ่งตามข้อบังคับเรื่องมรรยาททนายความแล้ว ทนายความไม่สามารถเปิดเผยความลับของลูกความได้ อีกทั้งส่วนตัวถือว่าทำหน้าที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วในศาลชั้นต้นแล้ว ส่วนในชั้นอุทธรณ์ ก็เป็นเรื่องของแอมได้มีโอกาสไปหาทนายความมาต่อสู้เอง หลังจากนี้ตนก็คงไม่ย้อนกลับไปตำหนิลูกความและจะไม่เปิดเผยความลับของลูกความ จะปล่อยให้ความลับตายไปกับตัวเอง
ผู้สื่อข่าวยังได้ถามต่อไปว่า สาเหตุของการตัดสินใจ ถอนตัวจากคดีแอม ไซยาไนด์ เป็นเพราะทนายพัชต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปีหรือไม่ ทนายพัชกล่าวว่า เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกัน เพราะตนได้พูดคุยกับแอมและตัดสินใจกันมาตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมาแล้ว โดยมีหลักฐานคือ ใบคัดทะเบียนราษฎร์ของแอมประกอบคำร้องถอนตัวจากการเป็นทนายความในคดีที่ลงวันที่ 16 ตุลาคม // ขณะที่การถอนคดีดังกล่าวนั้นจะเป็นการลอยแพแอมหรือไม่นั้น ทนายพัชเผยว่าไม่เกี่ยว ตนทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าศาลจะมีคำพิพากษามีผลเช่นไร ตนก็ตั้งใจจะมายื่นคำร้องหลังจากกระบวนการในศาลชั้นต้นเสร็จสิ้น ไม่ใช่เป็นการสละเรือ // รวมทั้งเปิดเผยอีกว่า ไม่ใช่เป็นเพราะแอมจะไม่ต่อสู้คดีอย่างแน่นอน เนื่องจากคำพูดสุดท้ายที่ตนได้พูดคุยกับแอมก็คือ "แอมอุทธรณ์ต่อค่ะ"
โดยการพูดคุยว่าจะถอนตัวจากคดีนี้นั้น แอมก็ไม่ได้ว่าอะไรตน แต่ตนเชื่อว่าเขาก็อาจจะเสียใจ เพราะอยู่ด้วยกันมานาน ส่วนฝั่งแอมได้พูดรั้งหรือยื้อทนายพัชให้ทำคดีต่อหรือไม่ ทนายพัชบอกว่า "มีค่ะ" แต่จะห้ามอะไรได้ ก็ในเมื่อทนายไม่อยากทำ ทนายก็มีสิทธิ์ ลูกความก็มีสิทธิ์ เพราะว่าในการทำหน้าที่ทนายความ ตนเป็นเพียงแค่ตัวแทนเฉพาะกาล ไม่ได้เป็นตัวแทนตลอดไป เมื่องานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็มีสิทธิ์ที่จะถอนตัวเองออกมาได้ ถ้าเราไม่สบายใจหรือความเห็นเราไม่ตรงกัน มันก็เป็นเหตุผลของนักกฎหมายโดยแท้
ขณะเดียวกัน ลูกความก็มีโอกาสจะเลือกทนายความคนไหนก็ได้ด้วย แต่ส่วนตัวไม่ได้แนะนำทนายความให้กับแอม เพราะในเรือนจำแอมก็น่าจะรู้จักทนายความเยอะ แต่ส่วนตัวมองว่า น่าจะหาทนายความมาทำคดีนี้ยาก เพราะคดีแอม ไซยาไนด์ เป็นคดีที่มีความซับซ้อน อย่างน้อยก็อยากให้ทนายคนอื่นได้พบความจริงหรือความลับในทางคดีของแอม ส่วนจะเป็นความจริงหรือความลับเกี่ยวกับเรื่องอะไรนั้น รอให้ทนายความคนใหม่ได้มาคัดคำพิพากษาและเห็นด้วยตาตัวเอง รวมทั้งให้ทนายคนใหม่มาพูดกับแอมเอง
ทนายพัชยังได้เปิดใจอีกว่า หลังจากนี้ตนจะกลับมาทบทวนตัวเองว่าผิดพลาดอะไรตรงไหนและจะเดินหน้าอุทธรณ์ต่อสู้คดีในส่วนของตัวเองต่อไป ถึงเวลาแล้วที่ต้องมาดูแลตัวเอง อย่างน้อยยังมีพยานหลักฐานที่นำสืบในชั้นศาล ซึ่งตนก็หวังว่าในชั้นอุทธรณ์จะได้รับความเมตตาจากศาล โดยทนายพัชไม่โกรธที่คำให้การของแอมทำให้ตนต้องคำพิพากษาโทษจำคุก 2 ปี แต่แค่รู้สึกติดใจ เพราะที่ผ่านมาเวลาตนทำงานให้กับลูกความ ตนจะทำงานอย่างตรงไปตรงมาและตั้งแต่ตนเป็นทนายความมานั้น ตนไม่เคยมีเรื่องเสียหายมาก่อน ที่ผ่านมาก็เอาคนเข้าคุกมาแล้วหลายคน
อย่างไรก็ตาม การยื่นคำร้องขอคดีดังกล่าวจะสัมฤทธิ์ผลได้ก็ต่อเมื่อ ศาลมีคำสั่งให้ตนเองถอนจากการเป็นทนายความในคดีนี้ ซึ่งในระหว่างที่ศาลยังไม่มีคำสั่ง ตนก็จะยังคงคอยทำหน้าที่เป็นทนายความและให้ความเป็นธรรมแก่ลูกความจนกว่าศาลจะมีคำสั่ง ส่วนอดีตสามีแอมไซยาไนด์ ทนายภัทรกล่าวว่าตนไม่เคยพูดคุยด้วยและใช้ทีมทนายความคนละส่วนกัน ตนก็มีทนายความของตัวเอง
ทั้งนี้ ยังคงมีอีกประเด็นที่ตนต้องเดินหน้าต่อไป นั่นก็คือ การให้การต่อคณะกรรมการของศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย กรุงเทพมหานคร สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ในเรื่องของการจับกุมแอมโดยไม่ชอบตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหาย ซึ่งในส่วนนี้ตนจะยังคงไปให้การกับคณะกรรมการ เพราะมีประเด็นที่ว่าตำรวจชุดจับกุมยอมรับแล้วว่า การจับกุมแอมนั้นไม่ชอบตามกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากไม่ได้แจ้งต่อฝ่ายปกครองให้รับทราบการจับกุมและตนจะยังคงเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป เนื่องจากเป็นคดีอาญาแผ่นดิน
นอกจากนี้ ทนายพัชยังได้เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า ไม่มีการไปแจ้งความดำเนินคดีในวันพรุ่งนี้ (26 พฤศจิกายน) ตามที่ปรากฏเป็นข่าว เพียงแต่หลังจากนี้ เตรียมจะดำเนินการยื่นฟ้องตรงต่อศาลเพื่อเอาผิด แม่ของแอมกับพวกในข้อหาให้การเท็จกับเจ้าพนักงานตำรวจ แต่ยังขอไม่เปิดเผยรายละเอียดในส่วนนี้