อดีตภรรยา-ลูกสาว"หมอบุญ” ให้การปฏิเสธพนักงานสอบสวนทุกข้อกล่าวหา หลังสอบปากคำนานกว่า 6 ชั่วโมง ยอมรับ”หมอบุญ”หนีไปจีน พร้อมประสานตำรวจสากลนำตัวกลับดำเนินคดีในไทย ระบุข้อมูลบางอย่างเป็นประโยชน์รูปคดี ขยายผลเครือข่ายผู้ร่วมขบวนการ เตรียมสอบซ้ำ “สนธิ”ชี้คดี”หมอบุญ” เหมือนแชร์ลูกโซ่ จี้เช็กบิลโบรกเกอร์ฐานแนะนำนักลงทุน
จากกรณี นางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี อดีตภรรยาของ นพ.บุญ วนาสิน หรือหมอบุญ และน.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาว เดินทางเข้ามอบตัวกับตำรวจที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ สมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน โดยหลังการสอบปากคำเป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนางจารุวรรณและน.ส.นลินมาสอบปากคำต่อและคุมขังที่สน.พญาไท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 พ.ย.67 ที่สน.พญาไท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้แก่นางจารุวรรณและน.ส.นลินยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องคุมขัง โดยมีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ได้เรียกร้องขออะไรกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นพิเศษ โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมามีญาติมาขอเข้าเยี่ยมด้วย แต่ไม่สะดวกให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนและไม่สะดวกให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการสอบปากคำเมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำน.ส.นลินบุตรสาวนพ.บุญเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงสอบปากคำนางจารุวรรณอดีตภรรยาของนพ.บุญ เพราะเมื่อคืนนี้ระหว่างการสอบปากคำมีการขอพักเป็นระยะ และขอรับประทานยาโรคประจำตัวหลายครั้ง จึงต้องพักการสอบสวนไว้ก่อน และเตรียมสอบปากคำเพิ่มเติมในช่วงบ่ายวันนี้ โดยเบื้องต้นทั้งคู่ยังคงให้การภาคเสธ แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะอยู่ในสำนวนการสอบสวน แต่ยืนยันว่าได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคดี โดยจะเตรียมขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการรายอื่นๆ อีก
สำหรับคดีดังกล่าวมีผู้เสียหายจำนวนมาก เฉพาะในพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 มีจำนวนผู้เสียหายแล้วกว่า 247 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 7,600 ล้านบาท ยังไม่นับรวมพื้นที่อื่นๆ และในต่างจังหวัดที่อยู่นอกพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยหลังจากนี้จะต้องประชุมหารือร่วมกับผู้บังคับบัญชาถึงแนวทางในการรับแจ้งความผู้เสียหายว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งขณะนี้ก็มีผู้เสียหายจากต่างจังหวัดทยอยเข้ามาแจ้งความต่อเนื่อง โดยทางตำรวจนครบาลจะรับเรื่องไว้เบื้องต้นก่อน มีรายงานว่า ในส่วนของนพ.บุญที่อดีตภรรยาและลูกให้ข้อมูลว่าอยู่ที่ประเทศจีนนั้น พนักงานสอบสวนได้ยื่นเรื่องไปที่กองการต่างประเทศ เพื่อยื่นขอให้ตำรวจสากลออกหมายแดงต่อ โดยจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
ด้าน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ และเจ้าของรายการสนธิทอล์ค กล่าวถึงกรณี นพ.บุญ วนาสิน หรือหมอบุญ ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี ถูกออกหมายจับข้อหาฉ้อโกง สมคบกันฟอกเงิน มีผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้น ว่า กรณีนี้เป็นแชร์ลูกโซ่อีกแบบหนึ่ง จากบอสพอลมาเป็นบอสบุญ คนที่สมควรโดนมากที่สุดคือโบรกเกอร์ เพราะต้องการค่าคอมมิชชั่น ตามโปรเจกต์ของหมอบุญซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่เลื่อนลอย ฝันเฟื่อง เป็นปราสาททรายอยู่ในทะเล เอาไปขายประชาชน โดยคนถือหุ้นที่ซื้อเพราะเป็นหมอบุญ โดยไม่ได้ศึกษาว่าไม่ได้ต่างจากคนที่ฉ้อโกงหลอกลวงคน
ทั้งนี้ ปัญหาใหญ่ที่ต้องดูคือการใช้ภรรยาตัวเองลูกสาวตัวเอง อดีตลูกสะใภ้ เซ็นเอกสาร โดยหมอบุญเซ็นอยู่คนเดียว ตนจะขอแนะนำตำรวจว่าถ้าจะเล่นกลุ่มแรกคือกลุ่มโบรกเกอร์ เพราะเหมือนเป็นแม่ข่าย ถ้าไม่มีโบรกเกอร์ คนที่จะมาลงทุนได้อย่างไร มีการนำเสนอโครงการว่าดีและมีการให้ดอกเบี้ย หมอบุญให้ 10% ดังนั้นกรณีนี้อย่าไปดูลึกซึ้ง เพราะมันคือขบวนการแชร์ลูกโซ่ที่ทำโดยหมอ และคนที่ถูกหลอกโดยส่วนใหญ่ก็คือหมอทั้งนั้น แต่ไม่ทราบว่ามีถึงขั้นเจ้าสัวหรือไม่
ส่วนที่หมอบุญออกมายอมรับว่าทำผิดนั้น เพราะไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แต่อยู่ในประเทศจีน จึงไม่ได้สนใจใครทั้งสิ้น ส่วนหมอบุญจะกลับจากจีนหรือไม่ตนไม่รู้ ตอบไม่ได้
“หมอบุญ อายุ 86 ปี จบแพทย์มหิดล ไปเรียนต่างประเทศ โรงเรียนแพทย์อันดับ 1 ของอเมริกา ทำไมถึงมีความคิดแบบนี้ได้ และขอให้อย่าลืมวีรกรรมหมอบุญตั้งแต่สมัยวัคซีน ปั่นข่าวเพื่อให้หุ้นตัวเองขึ้น บอกว่าเป็นเอเย่นต์วัคซีนไฟเซอร์ พอคนหลงไปซื้อ หุ้นโรงพยาบาลขึ้นเอาขึ้นเอา ก็บอกว่าตกลงกันไม่ได้ ถ้าต้องโทษก็ต้องโทษหน่วยงานรัฐที่ไม่จริงใจ สรุปง่ายๆ วันนี้ประเทศไทยจะจบหมอมหิดล จบเฉพาะทาง หรือจะเป็นอย่างทนายตั้ม คนถ้ามันจะเลวแล้วมันไม่มีแบ่งชั้นวรรณะ ไม่มีแบ่งวุฒิภาวะ สันดานจะเลวก็เลวทุกคน” นายสนธิ กล่าว
เมื่อถามถึงกณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ยืนยันจะสู้สุดฤทธิ์ในคดีฉ้อโกง นายสนธิ กล่าวว่า เป็นทางเดียวที่จะต้องสู้ แต่จะสู้ได้มากน้อยแค่ไหนตนมั่นใจในหลักฐานที่ตำรวจเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จะสู้ได้มากน้อยแค่ไหนต้องจับตาดูที่อัยการและศาล และดูว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนมั่นใจ ตนจึงมีหน้าที่อย่างเดียวที่จะทำความจริงให้ปรากฏ ทนายตั้มต้องรอพิสูจน์ความจริง ส่วนหลังจากนี้จะมีการเปิดเผยข้อมูลใครอีกหรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า ยังไม่รู้ ยอมรับว่ามีข้อมูลเยอะ แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็จะไม่พูด