วันที่ 24 พ.ย.67 นายสุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต อดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า "จุดเปลี่ยนของรัฐบาลนายกฯแพทองธารที่หลายฝ่ายมองว่าจุดสลบอยู่ที่องค์กรอิสระและบรรดานักร้องทั้งหลายนั้นอาจจะยังไม่ใช่ประเด็นชี้ขาดหรือจุดชี้เป็นชี้ตายในตอนนี้ 

เพราะธรรมชาติขององค์กรอิสระนั้น ในทางการเมืองมีตัวแปรมากมายที่อาจไม่เป็นอย่างที่หลายคนคาดคิดก็ได้ 

ในยุคหนึ่งเราก็เคยเจอประสบการณ์ที่เลวร้ายมาแล้วที่บรรดากลไกองค์กรอิสระเป็นเป็ดง่อย ถูกควบคุมแทรกแซงครอบงำจากอำนาจทางการเมืองจนทำงานตรวจสอบกันไม่ได้

และต้องจับตาด้วยว่าในขณะนี้ ผู้ดำรงตำแหน่ง ในองค์กรอิสระหลายองค์กรกำลังจะทยอยหมดวาระและจะมีการสรรหากันใหม่ ก็อาจเป็นจังหวะของกลุ่มอิทธิพลทางการเมืองและพรรคการเมืองเข้ามาสอดแทรกส่งคนของตัวเองเข้ามาก็จะเป็นไปได้ 

สำหรับจุดตายของรัฐบาลชุดนี้ถ้าไม่ใช่องค์กรอิสระแล้วประเด็นสำคัญก็ยังอยู่ที่ความสามารถในการแก้ปัญหาบ้านเมืองว่าทำได้ตามที่วางไว้หรือไม่  

โดยเฉพาะปัญหาใหญ่เรื่องเศรษฐกิจซึ่งนโยบายเรือธงอย่างดิจิทัลวอลเล็ตตอนหลังมาเป็นแจกเงินสด 10,000 บาทสำหรับผู้เปราะบางและกำลังจะแจกเฟสสองสำหรับคนอายุ 60 ปีขึ้นไปในต้นปีหน้านั้น มีคำถามมากมายตั้งแต่ประเด็นว่าแจกไปเฟสแรกสำหรับคนกลุ่มเปราะบางกว่า 14 ล้านคนนั้น เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจจริงหรือไม่  อันนี้ก็พอจะประเมินกันได้ 

รวมทั้งข้อท้วงติงจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ ปปช. ใน 8 ประเด็นสำคัญที่ไม่เห็นด้วยอาการแจกเงิน 10,000 นั้นอาจเป็นหอกทิ่มแทงรัฐบาลนี้ 

ความเห็นของคณะกรรมการ ปปช.ค่อนข้างตรงไปตรงมาว่านโยบายดังกล่าวจะสร้างปัญหา และมีความเสี่ยงมากมาย เช่น ความเสี่ยงทุจริต ผิดกฎหมายหลายฉบับ  ความเสี่ยงทางรัฐธรรมนูญ  ความเสี่ยงในหนี้สาธารณะ เป็นต้น 

ซึ่งในขณะนี้ก็มีคำร้อง คาอยู่ที่ ปปช. และคงมีคำร้องใหม่มาอีกเมื่อมีการแจกเงินหมื่นเฟสสองและมีการปรับแต่งนโยบายไปเรื่อยๆ 

เรื่องนี้จะเป็นตัววัดใจรัฐบาลแพทองธาร ว่าสุดท้ายแล้วนโยบายเรือธงการแจกเงิน 10,000 นี้ จะเป็นบวกหรือเป็นลบ หรือจะเป็นจุดเปลี่ยนของรัฐบาลกันแน่"