“ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะผู้ทรงอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทย  ใช้เวลาปราศรัยช่วยลูกพรรคเพื่อไทยหาเสียงในศึกเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานี เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวในวันนั้น ได้สร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองจนถึงวันนี้

เพราะหลายต่อหลายคน พากันไขปริศนา อ่าน “สัญญาณ” ว่าแท้จริงแล้ว การเปิดหน้าปราศรัยใหญ่ในรอบ 18 ปีครั้งนี้ “นายใหญ่” ต้องการส่งสัญญาณไปถึงใคร และต้องการอะไรกันแน่ !

ความพิเศษของการปราศรัยของ ทักษิณ ที่ลงมาช่วย “ศราวุธ เพชรพนมพร” ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ลงเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานี โดยมีขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.67นี้ เป็นเสมือนการต้อนรับกลับบ้านของนายใหญ่ ในรอบ 17 ปีที่จากเมืองไทย หลังหนีคดีไปใช้ชีวิตที่ต่างแดน และยังเป็นในรอบ 18ปีที่ทักษิณ ได้คืนสู่สังเวียนการเมือง แม้จะเป็นการเมือง “สนามเล็ก” ก็ตามที

แต่น่าสนใจว่าพรรคเพื่อไทย ได้จัดเวทีปราศรัยให้ทักษิณ ด้วยกันถึง 3เวที ใน2วันระหว่างวันที่ 13-14 พ.ย.67 ทั้งที่ วัดศรีนคราราม อ.กุมภวาปี, ตลาดนัด 4 ธันวา อ.บ้านดุง และสนามทุ่งศรีเมือง อ.เมือง

การกลับมาปลุกใจ “พี่น้องคนเสื้อแดง” ให้หันกลับมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เหมือนที่เคยสนับสนุนพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน 2 เจนเนอร์เรชั่นแรก ก่อนจะมาถึงพรรคเพื่อไทย คือเป้าหมายสำคัญ  เพราอย่าลืมว่าตอนหนึ่งของการปราศรัยทักษิณ ระบุว่า ขอให้คนเสื้อแดงกลับมา แม้ที่ผ่านมาอาจจะมี “สี” อื่น ตกใส่สีแดงบ้างก็ตาม แต่วันนี้ทักษิณ กลับมาแล้ว 

การออกมาเคลื่อนไหวของทักษิณ ที่สนามชิงนายกอบจ.อุดรฯ ครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทำให้ทุกแนวร่วมต่างมีปฏิกิริยาออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งการปราศรัยและการให้สัมภาษณ์ที่มีการพาดพิงไปถึง “พรรคประชาชน” และ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคประชาชน ตัวจริง เช่นเดียวกับทักษิณ

บางช่วงของการให้สัมภาษณ์สื่อหลังทักษิณ ขึ้นปราศรัย โดยทักษิณ ตอบคำถามสื่อกรณีการผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในสมัยหน้า ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนจะผลักดันหรือไม่ ทักษิณ บอกว่าเขาไม่อยากให้ความเห็นเรื่องนี้  ไม่อยากมีบทบาท  และมองว่าเป็นเพราะการเมืองทำให้ต้องเจอกับข้อหาไม่จงรักภักดี  “ก็การเมืองไง ดูสิ ผมนี่โดนหนักที่สุด ทั้งๆ ที่เป็นคนที่ถวายงานที่สุด แต่ด้วยความหมั่นไส้ เป็นเรื่องธรรมดา“

รวมทั้งยังบอกกับสื่อด้วยว่าเขาเองเคยพูดคุยกับธนาธร เรื่องการยุบพรรค เรื่องการแก้ไขมาตรา 112  ตนเองก็โดนยุบไป 3 พรรค ต้องไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี ดังนั้น ขอให้เราช่วยทำงานให้บ้านเมือง อย่าพยายามไปรื้อโครงสร้างให้มากเกินไป

“อย่าไปคิดถึงสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่คนไทยเคารพนับถือ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของสถาบัน เราต้องจรรโลงอย่างเดียว ผมไม่ได้บอกว่านายธนาธร หรือพรรคก้าวไกลไม่จงรักภักดี แต่ต้องยึดหลักให้ถูกต้อง อย่าไปมุ่งหาเสียง บางทีจุดที่โฆษณามันอันตราย กว่าความตั้งใจที่จะทำ” (14พ.ย.67 )

งานนี้ทำเอาพรรคสีส้มมีสะเทือน จนธนาธร ต้องโพสต์ตอบโต้ ว่าทักษิณ น่าจะรู้ดีที่สุดว่า เหตุใดเพื่อไทยและก้าวไกล จึงตั้งรัฐบาลร่วมกันไม่ได้   จะบอกว่าทักษิณ “จงใจ” ใช้ประเด็นอ่อนไหวว่าด้วยมาตรา 112 มา “ขยี้” พรรคสีส้ม ก็คงไม่ผิดนัก !

เท่ากับว่าทักษิณ ทำคะแนน นำหน้าพรรคประชาชนในศึกอบจ.อุดรฯไปล่วงหน้า พร้อมกันนี้ยังใช้วิธี “ชิ่ง” พาตัวเองแยกออกจาก พรรคสีส้มโดยปริยาย

นอกจากนี้ในการขยับหมาก ด้วยการพาตัวเองลงมาสู่สังเวียน นอกจากต้องการปลุกแนวร่วมที่เคยสนับสนุนให้กลับมาเป็น “ฐานกำลัง” ให้กับ นายกฯแพทองธาร แล้ว อย่าลืมว่า วันนี้พรรคเพื่อไทย แม้จะเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล แต่ไม่ได้ ยึดกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ มิหนำซ้ำยังอยู่ในวงล้อมของพรรคร่วมรัฐบาล ที่อยู่ในปีก “อนุรักษ์นิยม” เคยร่วมรัฐบาลกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  มาก่อน

ยิ่งในสถานการณ์ที่ “คดี” และ “สารพัดคำร้อง” เริ่มต้นนับหนึ่ง ทั้งคดีของทักษิณเอง และนายกฯแพทองธาร ที่ถูกประเมินว่า รัฐบาลอาจจะอยู่ “ไม่ครบเทอม”  เว้นแต่จะใช้สูตร “เปลี่ยนตัวนายกฯ” แต่ยังเป็นพรรคร่วมรัฐบาลชุดเดิม

หมายความว่าวันนี้พรรคเพื่อไทย ทักษิณ และนายกฯแพทองธาร ล้วนดำรงอยู่บนความเปราะบางและสุ่มเสี่ยงทุกเมื่อ จาก “องค์กรอิสระ”  ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เกิดกระแสข่าวลือ ข่าวปล่อย มาโดยตลอดว่า อาจถึงคราวต้อง “เปลี่ยนตัวเล่น” แล้วหรือไม่

ยิ่งเมื่อวันนี้ “พรรคสีน้ำเงิน” อย่างพรรคภูมิใจไทย ที่มี 71 เสียงในมือ บวกกับพลัง “สว.สายสีน้ำเงิน” กว่าครึ่งค่อน จากวุฒิสภา ล้วนเป็นของพรรคภูมิใจไทย

ด้วยเหตุนี้ ชื่อของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จึงถูกพูดถึงในฐานะ “ว่าที่นายกฯคนใหม่” มาเป็นระยะๆ หาก แพทองธาร ต้องเจอกับอุบัติเหตุตามรอย “เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกฯคนที่ 30 ไปอีกราย

ดังนั้นการส่งสัญญาณจากทักษิณ ผ่านเวทีปราศรัยสนามเลือกตั้งระดับท้องถิ่น จึงดูจะมีความหมายมากไปกว่า การให้ลูกพรรคอย่างศราวุธ ชนะเลือกตั้งเข้ามาเท่านั้น หรือเพียงแค่ “ปลุกใจ” คนเสื้อแดงอุดรฯ เท่านั้น หากแต่ภารกิจของทักษิณ วันนี้คือการ “ปกป้องลูก” มากกว่าที่จะกลับมา “เลี้ยงหลาน”

และเหนืออื่นใด คือการส่งสัญญาณ เพื่อ “กลบ” พรรคสีส้ม  ขวาง “พรรคสีน้ำเงิน”  ไม่ให้ผงาดขึ้นมาเป็น “ทางเลือกใหม่” สำหรับฝั่ง “อนุรักษ์นิยม”

ในเมื่อวันนี้ คนที่จงรักภักดีต่อสถาบัน คนที่คิดทุกลมหายใจว่าจะทำเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พ้นจากความจน “กลับมาแล้ว”  จึงพร้อมที่จะชูธง นำให้กับ “ขั้วอนุรักษ์”

จะด้วยในฐานะ “หัวหอกอนุรักษ์ใหม่” หรืออะไรก็ตาม   แต่นี่คือ “สัญญาณ” จาก “นายใหญ่”  ที่ชื่อ ทักษิณ ส่ง “สาร” นั่นเอง !!